หน้าแรก / THTI Insight / องค์ความรู้ / ส่วนต่างๆของเสื้อผ้า/เสื้อท่อนบนสตรี

ส่วนต่างๆของเสื้อผ้า/เสื้อท่อนบนสตรี

กลับหน้าหลัก
06.04.2561 | จำนวนผู้เข้าชม 19122

BODICE:  ทรงเสื้อท่อนบน / ตัวเสื้อ / โครงเสื้อสตรี

เสื้อท่อนบนของสตรีสามารถสร้างสรรค์ความหลากหลายได้รูปแบบ โดยมีเทคนิคที่มักใช้กันคือ โครงเสื้อ แนวตัดต่อ และรูปแบบของเอวเสื้อ
               Bodice ทรงเสื้อท่อนบน / ตัวเสื้อ / เสื้อท่อนบนของชุดกระโปรงผู้หญิง ยาวตั้งแต่บ่าถึงเอว มักใส่พอดีตัว
               bodice เป็นคำพ้องความหมายของ body corsage
               Yoke - ชิ้นผ้าที่ใช้กำหนดรูปทรง ส่วนใหญ่เพื่อกำหนดความบานจากจีบรูดหรือการตีเกล็ด บางครั้ง yoke ถูกใช้เพื่อเป็นองค์ประกอบในการตกแต่งลาย

โดยปกติแล้วจะพบ yoke ในบริเวณไหล่ด้านในของเสื้อเชิ้ต เสื้อผู้หญิง และชุดติดกัน ยังสามารถใช้บริเวณเอวและสะโพกของกระโปรงและกางเกงสแล็ค

BODICE

Normal Fitted

French Dart

Blouse

ทรงเสื้อท่อนบนแบบมาตรฐาน พอดีตัว

เกล็ดตัวและอกปกติ

ทรงเสื้อเข้ารูปเกล็ดข้างสไตล์ฝรั่งเศส

ทรงเสื้อตัวหลวม

Camisole

Shoulder Yoke

Strapless

ทรงเสื้อชั้นนอก หรือเสื้อชั้นในที่มีคอเสื้อห้อยลงมาต่ำกว่าช่วงเนินอก มีสายคาดไหล่ทรงตรง

ทรงเสื้อที่มีตัดต่อช่วงบ่า

ทรงเสื้อเกาะอก

Princess

Surplus

 

ทรงเสื้อเข้ารูปและมีตะเข็บเย็บผ่านอกจากวงแขนทั้งด้านหน้าและด้านหลังยาวไปจนถึงชาย/เอว ใช้กับชุดเดรส เสื้อโค้ต และซับใน

ทรงไขว้ข้าง ป้ายด้านหน้า

 
 
Waistline style ตำแหน่งการตัดต่อเส้นเอว

Normal Fitted

Pointed

Dropped

ตัดต่อตำแหน่งเอวตะเข็บปกติ

ตัดต่อเอวปลายแหลมด้านหน้า

ตัดต่อเอวต่ำ

Empire

Midriff Yoke

 

ตัดต่อที่ใต้อก

ตัดต่อชิ้นส่วนกลางตัวระหว่างอกกับเอว

 
 Skirt top style    เอวกระโปรง / ขอบเอว

Banded

Bandless

Highrise

มีขอบเอว

ไม่มีขอบเอว เอวรูด

เอวสูง

Pointed

Hip Hugger

Yoke

ขอบเอวปลายแหลม

เอวจัมป์เอวคลุมสะโพก

ตัดต่อขอบที่สะโพก


 Long Bodice ทรงเสื้อตัวยาว

Basic Normal Fitted

Shift

Sheath

ทรงเสื้อพอดีตัว เกล็ดมาตรฐาน

ชุดกระโปรงทั่วไปทรงตรง ในทศวรรษ 1960 ไม่แนบเนื้อ คล้ายกับ chemise dress ของปี ค.ศ. 1957 ชุดกระโปรง shift ใช้การตีเกล็ดขึ้น แนวทแยงจากตะเข็บด้านข้าง เพื่อช่วยให้เข้ารูป

ชุดกระโปรงพอดีตัว แคบ ตรง มักไม่มีเอว แต่เข้ารูปด้วยการตีเกล็ดแนวตั้ง หรือใส่ขอบเอวเข้าไป กระโปรงสวมได้ไม่อึดอัดด้วยจีบแบบ inverted pleats ที่ด้านข้างหรือตรงกลางด้านหลัง นิยมในทศวรรษ 1950 และต้นทศวรรษ 1960 และกลับมานิยมอีกเป็นช่วงๆ

Princess

A-Line

Tunic

ชุดกระโปรงพอดีตัว กระโปรงบาน ไม่มีตะเข็บช่วงเอวและตัดผ้าออกเป็นแผ่น ๆ พอดีตั้งแต่ไหล่/อกถึงชายกระโปรง แบบดั้งเดิมอ้างว่าออกแบบโดย Worth และนำมาถวายให้ Empress Eugénie ประมาณค.ศ.1860 จากนั้นมามีการสวมบ้างเป็นระยะ ๆ

เสื้อผ้าที่ด้านล่างใหญ่กว่าด้านบน มีรูปทรงคล้ายอักษร A

เครื่องแต่งกายอย่างง่ายเป็นรูปตัว T เปิดส่วนหัวและแขน ความยาวมีหลายขนาด ใส่ในสมัยกรีกโบราณ /เครื่องแต่งกายมีความยาวหลายระดับตั้งแต่สะโพกจนถึงหน้าแข้ง ใช้ใส่ทับเครื่องแต่งกายอื่นๆ เช่น กางเกงขายาว กระโปรง ชุดชั้นใน หรือชุดเดรส

Bouffant

Tent

Jumper (& Blouse)

ชุดกระโปรง มีเสื้อรัดรูปและกระโปรงบาน แบบรูด จับจีบ หรือจับจีบเล็ก ๆ บางครั้งกระโปรงเป็นทรงลูกโป่ง ระฆัง หรือกรวย และอาจสวมคู่กับสุ่มกระโปรงหรือกระโปรงชั้นใน

ชุดแต่งกาย ทรงพีระมิด มีสายพาดไหล่ ตัวหลวม ขอบกว้าง บานออก ยาวเลยสะโพก ใส่โดยไม่ใช้เข็มขัด ไม่มีรอบเอว บางครั้งจับจีบแอกคอร์เดียน เริ่มโดย Pierre Cardin ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1966

ชุดเดรสใส่ทับกับเสื้อครึ่งตัวตัวหลวม ที่มีปกคอเสื้อแบบทหารเรือหรือกะลาสีเรือ

Pinafore

Jacket dress

Shirt dress

ชุดกระโปรงสำหรับสวมคู่กับผ้ากันเปื้อนบังหน้าอก เป็นที่นิยมสำหรับเด็ก ใช้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1870 และต่อมาใช้กันเป็นระยะ ๆ ชุดเลียนแบบจากผ้ากันเปื้อนที่เด็ก ๆ สวม หรือเรียกว่า Alice in Wonderland, apron dress

ชุดกระโปรงสวมคู่กับเสื้อแจ๊คเก็ตเข้าชุดกันหรือสีตัดกัน ชุดกระโปรงมักไม่มีแขน เปิดไหล่ เมื่อสวมคู่กับเสื้อแจ๊คเก็ตทำให้เหมาะสำหรับงานธุรกิจหรือช่วงเวลาบ่าย เป็นที่นิยมตั้งแต่ทศวรรษ 1930

ชุดกระโปรงทรงตรง ติดกระดุมยาวลงมาด้านหน้า ตัดคล้ายกับเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย สวมแบบมีหรือไม่มีเข็มขัดคาดก็ได้ ตะเข็บข้างมักแยก และชายมน คล้ายหางเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย เป็นที่นิยมในค.ศ.1967 ชุดเป็นแบบหนึ่งของ coat-dress คลาสสิค หรือ shirtwaist และเป็นที่นิยมเป็นช่วง ๆ

Peasant

Flappe

Maternity

ชุดกระโปรงยาว รัดเอว แขนเสื้อพองยาว คอเสื้อร้อยเชือกตกแต่งลายปัก บางครั้งใส่ผ้ากันเปื้อนหรือ เกราะผ้าลูกไม้สีดำ มาจากชุดชาวนาในยุโรปที่ใส่ในงานเทศกาล นิยมใส่เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะทศวรรษ1930 1960 และ 1970

ชุดเดรส ต่อสะโพก ทรงหลวม กระโปรงสั้น แรกเริ่มใส่ในปลายทศวรรษ 1920 และนำกลับมาใช้อีกในทศวรรษ 1960 และ 1990

ชุดกระโปรง สำหรับผู้หญิงมีครรภ์ ต้นแบบดั้งเดิมในทศวรรษ 1940 เป็นตัวหลวมจากชิ้นตัดต่อเหนืออก แต่ในทศวรรษ 1980 มีรูปแบบคล้ายเสื้อผู้หญิง เสื้อเชิ้ตหรือเสื้ออื่นๆ

Caftan

MuuMuu

Dashiki

เสื้อคลุมตัวยาว คอเสื้อผ่าหน้า มักตกแต่งด้วยลายปัก แขนเสื้อปลายบาน ยาวหรือแขนสามส่วน ซึ่งมาจากเครื่องแต่งกายในแอฟริกาเหนือหรือตะวันออกกลาง ผู้หญิงชาวอเมริกันรับมาใส่ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ใส่อยู่บ้านหรือใช้เป็นชุดราตรี

mu'umu'u - ชุดกระโปรงบานของหญิงชาวฮาวายพื้นเมือง ตัวหลวม ดัดแปลงจาก chemise ที่หญิงพื้นเมืองได้รับจากหมอสอนศาสนาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 สวมไว้ใต้ holoku ซึ่งเป็นเสื้อผ้าชั้นนอกมีรูปแบบมาจากยุโรป หญิงพื้นเมืองชาวฮาวายสวมเป็นชุดสำหรับว่ายน้ำและใส่นอนจนถึงต้นทศวรรษ 1930 เป็นผ้าพิมพ์ลายดอกไม้ ถูกปรับมาใช้เป็น street wear ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชุดมีความยาวที่หลากหลายและแพร่หลายไปถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเป็นชุดที่สวมใส่แบบสบาย ๆ เป็นคำมาจากภาษาฮาวาย หมายถึง ตัดออก

เครื่องแต่งกายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแอฟริกากลาง มีตั้งแต่สั้นจนถึงเต็มตัว ทรงตรง หลวม ไม่มีปกเสื้อและผ้าครอบศีรษะ แขนเสื้อหลวมโคร่ง พิมพ์ลายแบบแอฟริกัน เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกาในปลายทศวรรษ 1960 เป็นชุดใส่ทั่วไป เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในชาวแอฟริกัน-อเมริกัน

Granny

Long Dinner

 

ชุดย้อนยุครุ่นคุณย่า ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

ชุดเดรส ต่างจากชุดราตรีตรงที่ไม่เปิดไหล่ มักใส่กับเสื้อนอกเข้าคู่กัน เมื่อถอดออกจะเป็นชุดเดรสทางการ เหมาะสำหรับงานเลี้ยงอาหารเย็นแบบทางการ แรกเริ่มใช้ในทศวรรษ 1930

 

 

-