Jacket - เสื้อแจ๊คเก็ต สำหรับผู้ชาย ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 - 17 ในฝรั่งเศสและอังกฤษ ใช้เรียกเครื่องแต่งกายที่มักไม่มีแขนเสื้อ ใส่ทับเสื้อรัดรูป เรียกอีกอย่างว่า jerkin ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สวมใส่โดยชาวชนบท กรรมกร คนเดินเรือจนกลายเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมของชนชั้นล่าง ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ยอมรับและใช้แทนเสื้อคลุมเข้าชุดในบางโอกาส
สำหรับผู้หญิง เสื้อแจ๊คเก็ตนี้เป็นประเภทเดียวกับเสื้อรัดรูปของผู้หญิง ซึ่งหลวมกว่าและเป็นทางการกว่า เรียกอีกอย่างว่า doublet ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อผู้หญิงมีการสวมเสื้อรัดรูปและกระโปรงแยกชิ้น ตัวเสื้อที่แยกกันนี้ เรียกว่า jacket bodice ปัจจุบันคำว่า "jacket" หมายถึงเสื้อสวมทับชิ้นบน มีหลายแบบทั้งทางการและลำลอง แบ่งเป็นความหมายต่างๆ ได้แก่ 1. เครื่องแต่งกายท่อนบน มักสั้นกว่าความยาวระดับสะโพก ออกแบบให้ใส่ทับเสื้อผ้าอื่นในร่มและกลางแจ้ง บ้างทำติดกระดุมสองแถวหรือแถวเดียว หรือไม่มีการติด หรือติดด้วยการรูดซิป 2. ส่วนหนึ่งของชุดสูทที่ใส่ทับด้านบนของร่างกายที่เรียกว่า เข้าชุดกับกางเกง มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณ jackquette ชื่อสั้นๆ คือ Jacque ซึ่งแปลว่า เสื้อคลุม
Blazer - เสื้อสูทลำลอง เรียกทับศัพท์ว่าสูทเบลเซอร์ เป็นสูทแบบมาตรฐาน ปกแบบ notched collar กระเป๋าเป็นแบบปะติด ติดกระดุมคล้ายโลหะ ไข่มุก นิยมใช้ผ้าหนังกลับ หรือผ้าสักหลาด
Suit - ชุดสูทผู้หญิงโดยทั่วไปประกอบด้วยเสื้อนอก และกระโปรงหรือกางเกงขา ยาว ของผู้ชายปกติประกอบด้วยกางเกงขายาวและเสื้อนอกแบบกระดุมแถวเดียวหรือคู่ มีเสื้อกั๊กทับ ชุดที่ประกอบด้วยเสื้อนอก เสื้อกั๊ก และกางเกงขายาวสำหรับผู้ชาย หรือเสื้อนอก กระโปรง และกางเกงขายาวสำหรับผู้หญิง เรียกว่า three-piece suit คำว่า suit ใช้ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 เรียกว่า doublet และ hose ความหมายของ suit ในปัจจุบันมีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สำหรับรูปแบบเฉพาะ [ดู ditto suit, Eton suit, Little Lord Fauntleroy suit, sailor suit และ zoot suit]
เสื้อเทเลอร์ (Tailored suit) เป็นลักษณะของสูท (Suit) สตรีแบบหนึ่งจะเป็นเสื้อคลุม (Jacket) มีปกที่ใส่คู่กับกระโปรง หรือกางเกง เป็นเสื้อที่ได้รับความนิยมในหมู่สตรีเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถสวมใส่ได้หลายโอกาส แบบเสื้อไม่ล้าสมัย
เสื้อเทเลอร์ หมายถึง เสื้อที่ใช้วิธีการตัดเย็บด้วยวิธีของช่างเสื้อชาย เป็นวิธีการตัดเย็บแบบใช้การเย็บด้วยมือมากกว่าการเย็บด้วยจักร และมีการสั่งตัดเป็นรายบุคคล โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นเสื้อชาย หรือเสื้อหญิงก็ได้ ลักษณะของเสื้อจะเป็นเสื้อคลุม (Jacket) ตัวเดียว หรือถ้าเป็นชุด คือ เสื้อกับกระโปรง หรือเสื้อกับกางเกง ตัดด้วยผ้าชนิดเดียวกันจะเรียกว่าสูทแบบเทเลอร์ (TAILORED SUIT)
ชนิดของเสื้อเทเลอร์
ลักษณะของเสื้อเทเลอร์จะเป็นเสื้อคลุม (Jacket) ตัวนอกสวมทับเสื้อตัวใน ในอดีตมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความอบอุ่น แต่ในปัจจุบันสุภาพสตรีจะนิยมสวมใส่กันมาก เพราะสามารถใส่ได้หลายโอกาส มีรูปแบบมากมาย จะสวมใส่กับกระโปรง หรือกางเกงก็ได้ ด้วยเหตุนี้เสื้อแบบเทเลอร์จึงแบ่งได้ 2 ชนิด คือ เสื้อเทเลอร์ชาย แบะเสื้อเทเลอร์หญิง
ความแตกต่างของเสื้อเทเลอร์ชุดสูทผู้ชายและเสื้อเทเลอร์ชุดสูทผู้หญิง มีความแตกต่างกัน ดังนี้
1. รูปร่าง รูปร่างของชาย และหญิงจะมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ผู้หญิงมีหน้าอก เอวคอด สะโพกผาย แต่ชายจะมีลักษณะอกตัน ไหล่ตั้ง สะโพกสอบ ด้วยรูปร่างที่แตกต่างกันนี้ ทำให้เสื้อเทเลอร์ชาย และเสื้อเทเลอร์หญิง จะมีความแตกต่างกันที่รูปทรงของตัวเสื้อ ผู้ชายนิยมรูปทรงเสื้อแบบตัวหลวม แต่ผู้หญิงจะนิยมเสื้อแบบเข้ารูป
2.วัสดุในตัวเสื้อ นอกจากรูปร่างของชาย และหญิง จะแตกต่างกันแล้ว วัสดุที่นำมาใช้ในการตัดเย็บก็จะแตกต่างกันไปอีกด้วย ในเสื้อเทเลอร์ของผู้ชาย วัสดุที่นำมาใช้ประกอบกับเสื้อจะเน้นวัสดุที่แข็งแรงมีรูปทรงที่แน่นอน ทำให้เสื้อมีรูปทรงที่มั่นคง และแข็งแรง ส่วนวัสดุที่ใช้ประกอบในเสื้อของเทเลอร์หญิงจะเป็นวัสดุอ่อนบาง ไม่แข็งแรงเหมือนกับเสื้อชาย เพราะลักษณะของเสื้อเทเลอร์หญิงต้องการความนุ่มนวล อ่อนหวานดูเป็นธรรมชาติ
ส่วนประกอบของเสื้อเทเลอร์
1. ปกเสื้อด้านหน้า - ปก NOTCHED จะเป็นปกที่มีรูปแบบแลดูเข้มแข็ง และเป็นพิธีรีตอง สามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส และไม่ล้าสมัย
2. ตะเข็บในตัวเสื้อ - ควรตัดแต่งตะเข็บให้เรียบร้อย เพื่อให้ตะเข็บบางไม่เป็นสันดูสวยงาม
3. ปกเสื้อด้านหลัง - เมื่อพับปกลงขอบของปกจะต้องปิดแนววงคอหลังได้ตรงพอดี
4. กระเป๋าบน - จะต้องอยู่ในแนวบ่าหน้าพอดี และแนบสนิทกับตัวเสื้อ ฝากระเป๋าไม่เปิด
5. กระเป๋าล่าง - เป็นกระเป๋าเจาะมีฝา ลักษณะมน รับกับชายเสื้อ ความมนของฝากระเป๋าจะทำให้ลักษณะของเสื้อดูนุ่มมากขึ้น
6. รังกระดุมกุ๊น - การเจาะรังกระดุมด้วยวิธีการกุ๊น จะต้องด้วยวิธีใช้ผ้า 1 ชิ้น หรือ 2 ชิ้น ก็ยังคงเป็นลักษณะรังดุมของเสื้อผู้หญิงและจะต้องเจาะรังดุมที่ด้านขวาของตัวเสื้อ
7. ซับในตัวเสื้อ - การประกอบซับในตัวเสื้อเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เสื้อตัวนั้น มีรูปทรงที่คงตัวอยู่ได้นาน
8. แขนเสื้อ - แขนเสื้อแบบ 2 ตะเข็บ คือ ตะเข็บด้านหน้า และตะเข็บด้านหลัง จะสวมใส่ได้รูปทรงดีกว่าแขนที่มีตะเข็บเดียว ซึ่งตะเข็บข้อศอกจะเป็นแนวตะเข็บที่ทำให้ตัวแทนได้รูปทรง
9. แนวเปิดปลายแขน - เป็นแบบของแขนเสื้อที่แลดูคลาสสิก ที่มีความสำคัญช่วยเสริมให้ตัวเสื้อคงอยู่ในสมัยนิยมตลอดไป
10. การใช้ผ้าเสริมไหล่ - เป็นส่วนที่ช่วยเสริมบริเวณไหล่ให้ดูเรียบตึง เพื่อปิดยังแนวบ่าของสตรีที่ไม่มีเนื้อ ให้แลดูมีเนื้อหนังมากขึ้น
Men’s Style Jacket เสื้อนอก/สูทผู้ชาย
|
||||||||||||
|
Jacket overlap & Buttons ชายเสื้อ สาปและกระดุม
Single-breasted การติดกระดุมแบบสามัญ ใช้กับสูท เสื้อแจ๊คเก็ต เสื้อผู้หญิง และเสื้อโค้ท มีอักษรย่อว่า S.B. ติดกระดุมแถวเดียว เรียงลงไปตรงกลางด้านหน้าของเสื้อผ้า |
|||||
|
|||||
Double-breasted กระดุม 2 แถว |
|||||
Cutaway One-closed |
Two-closed |
Roll-down |
Cutaway Two-closed |
Three-closed |
|
|
Front Cut ส่วนชายเปิดด้านหน้า Regular cut = A small, round cut that is often seen on single-breasted jackets. Round cut = A cut that is even more round than the regular cut. Cutaway = A round cut that runs diagonally from the lower back. Square cut = Often seen on the double-breasted jacket. |
Regular cut |
Round cut |
Cutaway |
Square cut |
|
ชายโค้งปกติ |
ชายมน |
ชายเสื้อด้านหน้าตัดเป็นแนวโค้งเรียวไล่ไปยังหลัง |
ชายตรง |
||
|
|
|
|
||
Vent/Slit รอยผ่าแนวตั้งของเสื้อ มักอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังตั้งแต่ขอบลึกเข้าไป |
|||||
Center vent |
Side vents |
Hook vent |
Inverted vent |
No vent |
One-piece back |
ผ่ากลาง |
ผ่าหลัง 2 ข้าง |
ผ่าแบบมีเย็บตรึงรอยเปิด |
รอยผ่าพับจีบกลับ |
ชิ้นหลังสองชิ้นไม่มีผ่าหลัง |
ชิ้นหลังชิ้นเดียว |
|
|
|
|
|
|
Lapel design ปก
|
Shoulder Line ไหล่
Natural |
Square |
Big |
Built up |
Dropped |
ไหล่โค้งปกติ |
ไหล่ตัดตรงมุมเหลี่ยม |
ไหล่ใหญ่กว่าปกติ |
เสริมไหล่หัวแขน |
ไหล่ตกตัดต่อหัวแขนต่ำกว่าปกติ |
|
Pocket กระเป๋า
Patch pocket |
Patch and Flap pocket |
Pleated pocket |
Change pocket |
Welt pocket |
กระเป๋าสี่เหลี่ยมใบใหญ่ที่เย็บปะอยู่ด้านนอกของเสื้อโค้ท เสื้อแจ๊คเก็ต และชุดติดกัน |
กระเป๋าปะ มีฝา |
กระเป๋าปะมีพลีทกลาง |
กระเป๋าซ่อนสำหรับใส่เหรียญ |
กระเป๋าเจาะ |
|
|
|
|
กระเป๋าเจาะ กระเป๋าที่แทรกอยู่ข้างในโดยขอบกระเป๋าอยู่ต่ำกว่าตัวกระเป๋า ตกแต่งโดยใช้ลิ้นปากกระเป๋าแนวตั้งที่อาจมีความกว้างตั้งแต่ 3/8 นิ้ว ถึง 1นิ้ว โดยปกติแล้วกระเป๋าหน้าอกเสื้อจะติดอยูที่ด้านหน้าซ้ายของเสื้อสูทหรือเสื้อโอเวอร์โค้ทของผู้ชาย บางทีช่างตัดเสื้ออาจเรียกว่า besom pocket [bee' -zum] หรือ a double besom pocket ถ้าหากขอบทั้งสองด้านมีลิ้นปากกระเป๋า แต่ถ้าเพิ่มปากกระเป๋าเข้าไป จะเรียกว่า a flapped besom เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า slit pocket [ดู bound pocket] |
Piped pocket |
Flap pocket |
Slanted pocket |
||
กระเป๋าเจาะ พร้อมกุ๊นขอบกระเป๋า |
ฝากระเป๋าที่ติดบนเสื้อ |
กระเป๋าเจาะแนวแทยง |
||
|
|
|
Lining
|
Full lining ซับในเต็มตัว |
One quarter lining ซับในเฉพาะชิ้นหน้าและบ่าหลัง |
|
|
|||
Piping กุ้นขอบ |
Facing Silk ผ้ารองใน |
Hemline ขอบหรือชายด้านล่างของเสื้อผ้า |
Stitching Edge ด้นตะเข็บริมผ้า |
Elbow patch ผ้าปะข้อศอกเพื่อเสริมความแข็งแรง |
|
|
|
|
|
|
Buttons & Botton holes กระดุมและรังดุม
|
|
|
|
[ซ้าย] กระดุมไม่มีก้าน คือ กระดุมมีรู มีลักษณะเป็นรูปกลม อาจมี 2 รู หรือ 4 รู ปรากฏให้เห็นบนเม็ดกระดุม เป็นส่วนที่ใช้เย็บติดกับเสื้อผ้า มักใช้กับเสื้อผู้ชาย เช่น เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด กระดุมชนิดนี้เย็บแล้วจะมองเห็นเส้นด้ายที่เย็บ [ขวา] กระดุมมีก้าน กระดุมชนิดนี้จะมีก้านอยู่ใต้เม็ดกระดุม ซึ่งจะช่วยไม่ให้เม็ดกระดุมกดรังดุม กระดุมชนิดนี้จะไม่เห็นเส้นด้ายปรากฏบนเม็ดกระดุม กระดุมมีก้านทำด้วยโลหะและพลาสติก มีลวดลายสีสันสวยงาม |
|||
|
c/d. รังกระดุมแบบหัวกุญแจ เหมาะสำหรับการเย็บถักรังกระดุมกางเกงยีนส์-เสื้อสูท |
|
|
การทำรังดุมมี 3 แบบ คือ รังดุมห่วง รังดุมเจาะ และรังดุมกุ๊น รังดุมที่นิยมใช้ได้แก่ รังดุมเจาะ ซึ่งเย็บริมโดยวิธีถัก สามารถทำได้ด้วยมือและด้วยจักร |
|||
Toggle กระดุมรูปแท่ง มักทำจากไม้หรือเขาสัตว์ ติดด้วยห่วงเชือกที่ด้านหนึ่งของเสื้อผ้าและดึงผ่านห่วงที่คล้ายกันของด้านตรงข้าม Snap กระดุมแป๊บ ทำด้วยโลหะ มีลักษณะต่างไปจากกระดุมธรรมดา คือ ประกอบด้วย ฝาบนซึ่งมีปุ่มนูนตรงกลาง และตัวรับซึ่งตรงกลางเป็นแอ่ง ต้องใช้คู่กันทำให้ประกอบกันสนิท กระดุมแป๊บเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวที่ใช้ติดกับระยะเปิดสั้น ๆ ไม่เหมาะที่จะใช้กับสาบเปิดของเสื้อผ้ายาว ๆ ส่วนเปิดของเสื้อผ้าที่ควรใช้กระดุมแป๊บ เช่น ติดที่มุมตอนบนและตอนล่างของสาบเสื้อ ติดระหว่างรังดุมถักหรือรังดุมเจาะตามขวางที่มีระยะห่าง ติดสาบเปิดข้อมือเสื้อสตรีแขนยาวหรือติดปกเสื้อที่ถอดได้ |