
แนวโน้มสินค้าในตลาดเยอรมนี
เยอรมนีเสียอาการ ... ประสบภาวะขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 14 ปี
เยอรมนีถึงจุดที่ขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี (นับตั้งแต่ปี 2008) โดยจากข้อมูลของสำนักงานสถิติประจำ ประเทศเยอรมนี (Statistische Bundesamt) เปิดเผยว่า เดือนพฤษภาคม 2565 เยอรมนีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเป็นมูลค่ากว่า 126.7 พันล้านยูโร โดยขาดดุลการค้าถึง 1 พันล้านยูโรโดยประมาณ ซึ่งเรื่องนี้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในรอบ 14 ปี จากที่เดิมเยอรมนีมักจะฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด แต่ปัญหาจริง ๆ แล้ว มิได้อยู่ที่ว่าเยอรมนีขาดดุลหรือได้ดุลการค้า แต่ประเด็นสำคัญ คือ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เยอรมนีกลับมาขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 14 จริง ๆ แล้วปัจจัยนั้น คือ ผลพวงจากสงครามในยูเครนหรือเป็นที่ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศเองกันแน่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลาย ๆ ฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF - international Monetary Fund) และนาย Donal Trump อดีต ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มองว่า เยอรมนีเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าชาวบ้านเขามาตลอด และเยอรมัน มักเน้นส่งออกสินค้ามากกว่าซื้อสินค้ามาบริโภคภายในประเทศ จึงทำให้มีผู้ประกอบอาชีพมากกว่าที่ควร จะเป็น และทำให้ชาวต่างชาติต้องสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอีก เพราะต้องการจะซื้อสินค้าของเยอรมนี
แท้จริง ๆ แล้ว เยอรมนีเริ่มออกอาการว่าจะต้องเจอภาวะขาดดุลการค้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ โดยนาย Moritz Schularick นักเศรษฐศาสตร์จากเมือง Bonn เปิดเผยว่า “เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกอกตกใจเลยเพราะเมื่อมองราคาสินค้าพลังงานที่สูงขึ้นขนาดนี้ก็ถูกต้องแล้วที่เยอรมนีต้องขาดดุลการค้า” การที่เยอรมนีเจอกับภาวะขาดดุลการค้านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเยอรมนีขายของหรือส่งออกสินค้าได้น้อยลง หากแต่เป็นเพราะว่าราคาสินค้านำ เข้า โดยเฉพาะสินค้าในหมวดพลังงาน มีราคาพุ่งกระฉูด ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้าสินค้าพลังงานจากรัสเซียได้ปรับ ราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 55% สำหรับปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เยอรมนีประสบปัญหาขาดดุลการค้า ได้แก่ ปัญหา Supply Chain และสงครามในยูเครนที่ทำให้เยอรมนีไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบบางส่วนมาใช้ผลิตสินค้าส่งออกโดยเฉพาะรถยนต์ได้ ด้าน นาย Holger Görg ประธาน Ifw – Institut für Weltwirtschaft (สถาบันเศรษฐกิจโลก) ที่ตั้งอยู่ในเมือง Kiel เปิดเผยว่า “ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบ อย่างหนักต่อภาคการส่งออก” ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้วัตถุดิบพวกเหล็กหรือชิ้นส่วนรถยนต์ขาดตลาดมาก และเมื่อไม่มีวัตถุดิบก็ย่อมส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของเยอรมันนั่นเอง
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์กันว่า แม้การระบาดของเชื้อโควิด-19 หรือสงครามยูเครนจบลงไปแล้ว แต่ก็ไม่การันตีว่า เยอรมนีจะกลับมาได้ดุลการค้าเหมือนเดิมหรือไม่ โดยนาย Görg เห็นว่า “อีกหนึ่งปัญหาที่เยอรมนียังคงมีอยู่ คือ ปัญหาในโครงสร้างของระบบ” โดยเขาคาดว่าต่อไปในอนาคตมูลค่าการนำเข้าและส่งออกคงจะไล่เลี่ยกัน และการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้นแบบกระทันหันนี้ไม่ได้เกิดจากผลพวงการนำเข้าเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเพราะมูลค่าการส่งออกของเดือนพฤษภาคม 2565 ลดลง 0.5% ขณะนี้ภาคเอกชนได้แสดงความกังวลและกลัวว่าการดำ เนินธุรกิจในเยอรมนีจะประสบปัญหา โดยนาย Volker Treier ผู้อำนวยการด้านการค้าระหว่างประเทศของสภาหอการค้าพาณิชย์และอุตสหากรรมเยอรมนี (DIHK - Der Deutsche Industrie- und Handelskammertag) ให้ความเห็นว่า “มีความเป็นไปได้ ว่า การส่งออกของเยอรมนีจะลดลงเรื่อยๆ” โดยนาย Jandura ได้ให้ความเห็นว่า “เยอรมนีคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากต้องพยายามผลักดันการเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าให้มากขึ้นนั่นเอง”
ปัจจุบันภาคเอกชนต่างก็กลัวว่าโลกในยุคโลกาภิวัตน์จะเริ่มลดบทบาทลงเรื่อย ๆ จากการที่เราไม่สามารถค้าขายกับรัสเซียซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักได้เหมือนเดิม แล้วไหนอาจเสียสัมพันธ์กับจีนได้ อีก ซึ่งเหล่านี้จะกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของเยอรมนีค่อนข้างมาก เพราะเยอรมนียังคงต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งนาย Görg เห็นว่า “ระบบเศรษฐกิจของ เยอรมนีมีความผูกพันกับนานาชาติมาโดยตลอด” ซึ่งในระยะยาวเยอรมนีก็ยังคงต้องการสินค้านำเข้าจากต่างประเทศอยู่ดี
โดยในปี 2564 เยอรมนีนำเข้าสินค้าหมวดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากไทย สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มที่ทำจากผ้าถัก รองลงมาได้แก่ เครื่องนุ่งห่มที่ทำจากผ้าทอ และผ้าถัก และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.7, 44.4 และ 46.3 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือที่มูลค่า 78.4, 13.7 และ 10.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ DITP กระทรวงพาณิชย์, Handelsblatt และ Global Trade Atlas