
สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กันยายน 2562
การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน2562 มีมูลค่า 9,035.39 ล้านเหรียญสหรัฐ (286,104.93 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 30.31 (ร้อยละ 32.13 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากนำเข้าทองคำฯ สินค้าหลักในสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งลดลงมากถึงร้อยละ 48.47 เนื่องจากราคาทองคำฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,511.31 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในเดือนกันยายนรวมถึงการนำเข้าเพชรทั้งเพชรก้อนและเพชรเจียระไนก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในขณะที่การนำเข้าพลอยสีไม่ว่าจะเป็นพลอยก้อน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังขยายตัวได้
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน2562 เพิ่มสูงถึงร้อยละ 42.61 (ร้อยละ 39.32 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 13,037.77 ล้านเหรียญสหรัฐ (406,396.41 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 9,142.57 ล้านเหรียญสหรัฐ (291,710.20 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.99 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 6,275.79 ล้านเหรียญสหรัฐ (195,859.88 ล้านบาท) เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6.68 (ร้อยละ 4.24 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า
1) สินค้าสำเร็จรูปเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับแพลทินัม ลดลงร้อยละ 1.73, ร้อยละ 23.46 และร้อยละ 6.40 ตามลำดับส่วนเครื่องประดับเทียม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.46
2) สินค้ากึ่งสำเร็จรูปพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ขยายตัวร้อยละ 10.47 และร้อยละ 17.66 ตามลำดับในขณะที่เพชรเจียระไน ลดลงร้อยละ 5.97
ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง9 เดือนแรกของปี 2562 คือ ฮ่องกง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.93 ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบของสงครามการค้า และอีกส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา กระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ลดลงทั้งนี้ยอดค้าปลีกในฮ่องกงประจำเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่ายอดขายสินค้ากลุ่มอัญมณี นาฬิกา และสินค้ามีค่ารายการอื่นทำสถิติลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ร้อยละ 47.4 ผู้นำเข้าฮ่องกงจึงลดการนำเข้าจากไทยลง ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน เครื่องประดับทองและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.93, ร้อยละ 25.92 และร้อยละ 3.55 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 2.24 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจยูโรโซนที่ทรุดต่ำสุดในรอบ 75 เดือน ผู้บริโภคจึงลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยลง มีผลให้ไทยส่งออกไปยังเยอรมนี และเบลเยียม ตลาดในอันดับ 1 และ 3 ได้ลดลงร้อยละ 32.99 และร้อยละ 2.63 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเยอรมนีเป็นเครื่องประดับ-แท้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับทอง ในสัดส่วนเกือบร้อยละ 90 ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องประดับเงิน ที่ล้วนปรับตัวลดลงส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 3.19 ในขณะที่การส่งออกไปยังอิตาลี ตลาดที่อยู่ในอันดับ 2 ยังขยายตัวได้ดี 1.34 เท่า จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้ารองลงมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเพชรเจียระไน ได้เพิ่มสูงขึ้น
การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.98 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว จากผลกระทบของสงครามการค้า ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ statista.com ได้คาดการณ์ว่าตลาดเครื่องประดับในสหรัฐฯ ในปีนี้จะเติบโตได้เพียงร้อยละ 0.9 สำหรับสินค้าหลักของไทยส่งออกไปยังตลาดนี้เป็นเครื่องประดับแท้ ในสัดส่วนราวร้อยละ 67 ทั้งเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน ต่างปรับตัวลดลงร้อยละ 3.62 และร้อยละ 26.64 ตามลำดับ ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตได้ในตลาดนี้คือ พลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอย-เนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเพชรเจียระไน ที่ขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 14.79, ร้อยละ 45.30 และร้อยละ 17.24 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยังญี่ปุ่นหดตัวลงร้อยละ 6.84 จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนได้ลดลงมากถึงร้อยละ 41.39 ส่วนสินค้าที่ยังขยายตัวได้ในตลาดนี้คือ เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม ด้วยมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.56 และร้อยละ 11.88 ตามลำดับ ทั้งนี้ ชาวญี่ปุ่นนิยมซื้อสินค้าที่ผลิตจากทองคำเพื่อการลงทุน
มูลค่าการส่งออกไปยังจีนลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงจากผลกระทบสงครามการค้า จึงทำให้ชาวจีนลดการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยลง ส่งผลให้ไทยส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลัก รวมถึงพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับทอง สินค้าสำคัญลำดับถัดมาได้ลดลงร้อยละ 13.99, ร้อยละ 29.05 และร้อยละ 55.23 ตามลำดับ ทั้งนี้ จากข้อมูลของ statista.com คาดการณ์ว่ายอดขายของเครื่องประดับหรูในตลาดจีนในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.1
ส่วนการส่งออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกที่หดตัวลงนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 87 ได้ลดลงร้อยละ 27.74 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาได้ลดลงมากโดยออสเตรเลียหันมานำเข้าทองคำเป็นอันดับ 1 ในปีนี้แทน ส่วนการส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ ตลาดในอันดับ 2 ขยายตัวได้ร้อยละ 17.17 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าลำดับถัดมาอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเครื่องประดับทอง ได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 22.26, ร้อยละ 0.98 และร้อยละ 20.76 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชที่ปรับตัวลดลงนั้น เนื่องมาจากการส่งออกไปรัสเซีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 78 และยูเครน ตลาดในอันดับ 3 ได้ลดลงร้อยละ 72.92 และร้อยละ 83.90 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังรัสเซียลดลง ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์เศรษฐกิจและความไม่มั่นคงในรัฐภูมิศาสตร์ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย และเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการสะสมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะทองคำเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ไทยส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาลดลงมาก ในขณะที่ไทยส่งออกทองคำไปยังตลาดนี้เป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของการส่งออกไปยังรัสเซียทั้งหมด รวมถึงเพชรเจียระไน ได้สูงขึ้น ส่วนตลาดยูเครนนั้น มีมูลค่าลดลงจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้ลดลงมาก ในขณะที่การส่งออกไปยังอาร์เมเนีย ตลาดในอันดับ 2 ได้เพิ่มสูงถึงเกือบหนึ่งเท่าตัว จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างพลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงสินค้าสำคัญลำดับถัดมาอย่างเพชรเจียระไนได้เพิ่มขึ้น
สำหรับตลาดอื่นๆ ที่ยังขยายตัวได้ ได้แก่ อินเดีย อาเซียน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลางโดยมูลค่าการส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 98.52เนื่องจากการส่งออกเพชรเจียระไน พลอยก้อน พลอยเนื้อแข็งและพลอย-เนื้ออ่อนเจียระไนไปยังอินเดียได้เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 26.34, 6.14 เท่า, ร้อยละ 37.48 และ 6.50 เท่า ทั้งนี้ อินเดียประกาศจะใช้โอกาสจากสงครามการค้าในการชิงส่วนแบ่งตลาดเครื่องประดับเพชรและพลอยสีในตลาดสหรัฐฯ จากจีนให้มากขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 20.5 ในขณะที่อินเดียเสียภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 5.5 อินเดียจึงมีความต้องการนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป เพื่อขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเติบโตสูงกว่า 1.93 เท่า เนื่องจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ และกัมพูชา ตลาดในอันดับ 1 และ 2 ได้สูงกว่า 3.09 เท่า และ 1.31 เท่า ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์เป็นเศษหรือของใช้ที่ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับเทียม ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังกัมพูชาเป็นเพชรเจียระไนและเครื่องประดับทอง ซึ่งล้วนเติบโตได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการส่งออกไปเวียดนาม ที่อยู่ในอันดับ 4 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 65.19 เนื่องจากการส่งออกอัญมณีสังเคราะห์ โลหะเงิน และเครื่องประดับทองได้เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่การส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดในอันดับ 3 ปรับตัวลดลงร้อยละ 15.56 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเพชรเจียระไน ได้ลดลง
ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.56 จากการส่งออกไปยังสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ ตลาดที่ครองส่วนแบ่งเกือบครึ่งหนึ่งได้สูงขึ้นร้อยละ 5.20 เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชร-เจียระไนได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.29 เท่า ในขณะที่สินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง หดตัวลงร้อยละ 1.69 ทั้งนี้ดูไบเป็นศูนย์กลางค้าเพชร โดยรัฐบาลยังมีนโยบายการค้าเสรี และไม่เก็บ VAT ในอัตราร้อยละ 5 สำหรับการซื้อขายเพชรแบบขายส่งในเมืองนี้ เพื่อจูงใจผู้ซื้อ/ผู้ค้าจากทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกสำหรับการส่งออกไปยังอิสราเอล และกาตาร์ ตลาดในอันดับ 2 และ 3 ปรับตัวลงร้อยละ 2.28 และร้อยละ 10.49 โดยสินค้าหลักในตลาดอิสราเอลทั้งเพชรเจียระไนและเพชรก้อนมีมูลค่าลดลง ส่วนกาตาร์ที่หดตัวลงเพราะการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนได้ลดลงเกือบหนึ่งเท่าตัว แม้ว่าสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองจะเติบโตได้ร้อยละ 10.23 ก็ตาม
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ