
บริษัทแฟชั่นระดับโลกทำข้อตกลงด้านความยั่งยืน
• บริษัทแฟชั่นชั้นนำจำนวน 32 แห่ง ร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์และกฎระเบียบใน The Fashion Pact โครงการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วโลก
• ผู้ลงนามมีความประสงค์ที่จะลดการสร้างมลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อมในสามด้าน ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และมหาสมุทร
• ในวันที่ 23 สิงหาคม ผู้แทนของกลุ่มบริษัทแฟชั่นได้รับเชิญโดยนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่ปาแล เดอ เลลีเซ หรือทำเนียบประธานาธิบดี
• The Fashion Pact จะถูกนำเสนอต่อผู้นำจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ณ เมือง Biarritz ในประเทศฝรั่งเศส
บริษัทแฟชั่นและสิ่งทอชั้นนำของโลกจำนวน 32 แห่ง เช่น Adidas, H&M, Inditex, Fung Group, Nike และ Gap ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรและกำหนดกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมสิ่งทอ
The Fashion Pact ถูกเปิดเผยโดยนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายฟรองซัวส์–อองรี ปิโนลต์ (François-Henri Pinault) ประธานและซีอีโอ Kering group เจ้าของกลุ่มธุรกิจสินค้าหรูของฝรั่งเศส ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ณ เมือง Biarritz ในประเทศฝรั่งเศส ช่วงวันที่ 24-26 สิงหาคม
เป้าหมายของThe Fashion Pact ถูกออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการกำจัดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว, การใช้พลังงานหมุนเวียน และการส่งเสริมการปฏิรูปการทำเกษตรกรรม
กลุ่มบริษัทแฟชั่นเหล่านี้ครอบคลุมถึงแบรนด์แฟชั่นหรู แบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์ ตลอดจนผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์ที่เข้าร่วมโครงการกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฐานวิทยาศาสตร์ (SBT1) เพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ปกป้องมหาสมุทร และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อให้อุณภูมิของโลกลดลง 1.5°C ภายในปี 2643
The Fashion Pact โครงการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วโลกมีเป้าหมายในการพัฒนาสามด้าน ดังนี้
• สภาพภูมิอากาศ การใช้มาตรการเพื่อลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สนับสนุนการใช้โปรแกรมการตรวจสอบย้อนกลับ และการจัดหาวัตถุดิบที่มีความยั่งยืน ตลอดจนการใช้พลังงานทดแทน 100% ในการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573
• ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีการลงนามในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อกำหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดผลกระทบของอุตสาหกรรมต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ประกอบกับการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันการสูญเสียในอนาคต ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการปฏิรูปการทำเกษตรกรรม, การยกเลิกการเลี้ยงสัตว์ด้วยการขุนให้อ้วนพีด้วยธัญพืช, สนับสนุนวัสดุและนวัตกรรมเชิงกระบวนการที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ, ส่งเสริมการกระทำไม่มีส่วนร่วมต่อความเสื่อมโทรมของป่าไม้, ส่งเสริมการดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อลดการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่า ในการทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ และการป่าไม้
• มหาสมุทร มีวัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีต่อมหาสมุทร โดยมีการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เช่น ยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (ทั้งบรรจุภัณฑ์ประเภท B2B และ B2C) ภายในปี 2573, การกำจัดมลพิษจากไมโครไฟเบอร์ที่เกิดขึ้นจากการล้างวัสดุสังเคราะห์, การจัดหาวัตถุดิบที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางเคมีต่อแม่น้ำและมหาสมุทร การเผยแพร่ความรู้แก่ผู้บริโภคถึงการดูแลผลิตภัณฑ์เพื่อลดการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกที่เกิดจากการซักล้าง, ดำเนินการป้องกันการปล่อยสารเคมีอันตรายจากห่วงโซ่อุปทานการผลิตลงสู่แม่น้ำและมหาสมุทร และการดำเนินการควบคุมเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเส้นใยและบรรจุภัณฑ์
กลุ่มบริษัทแฟชั่นที่ลงนามใน The Fashion Pact ประกอบด้วย Adidas, Bestseller, Burberry, Capri Holdings Limited, Carrefour, Chanel, Ermenegildo Zegna, Everybody & Everyone, Fashion3, Fung Group, Galeries Lafayette, Gap, Inc, Giorgio Armani, H&M Group, Hermès, Inditex, Karl Lagerfeld, Kering, La Redoute, MatchesFashion.com, Moncler, Nike, Nordstrom, Prada Group, Puma, PVH, Corp, Ralph Lauren, Ruyi, Salvatore Ferragamo, Selfridges Group, Stella McCartney, และ Tapestry, Inc.
The Fashion Pact ได้รับการสนับสนุนโดยนายฟรองซัวส์–อองรี ปิโนลต์ ซึ่งได้รับการมอบหมายโดยนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ในเดือนเมษายน
โดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมสมาชิกอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 20% ของอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกโดยวัดจากปริมาณของผลิตภัณฑ์ ตามเอกสารระบุว่า The Fashion Pact นั้นเป็นโครงการที่จะมุ่งเน้นการดำเนินการสานต่อโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
“เรามีความต้องการที่จะเชื่อมโยงธุรกิจของเราเข้ากับธรรมชาติ ตามจุดมุ่งหมายของ The Fashion Pact โดยมุ่งเน้นไปที่จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อุปทานแฟชั่น เนื่องจากฟาร์มและแหล่งวัตถุดิบส่วนใหญ่มีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข”
นอกจากนี้ยังเน้นย้ำว่า The Fashion Pact ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสานต่อความมุ่งมั่นที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น Apparel Impact Institute, C&A Foundation, มูลนิธิเอลเลน แมคอาเธอร์, Fair Fashion Center, Fashion For Good, Sustainable Apparel Coalition, Textile Exchange, กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC), โครงการ Better Work ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศของสหประชาชาติ และโครงการลดการใช้สารเคมีอันตรายในอุตสาหกรรมให้เหลือศูนย์ (ZDHC)
ที่มา : Just-style: “Global fashion firms commit to new sustainability pact”, by Beth Wright, August 23, 2019
เรียบเรียงโดย : อิสเรศ วงศ์เสถียรโสภณ (ศูนย์ข้อมูลและดิจิทัลอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ)