
สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562
การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 มีมูลค่า 5,645.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (180,652.67 ล้านบาท) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 20.72 (ร้อยละ 20.46 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากนำเข้าทองคำฯ สินค้าหลักในสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งลดลงมากถึงร้อยละ 33.96 เนื่องจากราคาทองคำฯ ที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องและทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 เดือนที่ระดับราคา 1,409 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในเดือนมิถุนายน ส่วนการนำเข้าพลอยสีเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.48 โดยไทยนำเข้าพลอยก้อนและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนเพิ่มสูงขึ้น
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.21 (ร้อยละ 15.37 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 7,244.46 ล้านเหรียญสหรัฐ (228,683.16 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 6,288.18 ล้านเหรียญสหรัฐ (198,216.03 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.89 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 3,847.62 ล้านเหรียญสหรัฐ (121,431.82 ล้านบาท) หดตัวลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 0.44 (ร้อยละ 0.31 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า
1.สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ลดลงร้อยละ 6.49 และร้อยละ 19.79 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับเทียม ขยายตัวได้ร้อยละ 3 และร้อยละ 6.39 ตามลำดับ
2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูป พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเติบโตได้ดีร้อยละ 11.60 และร้อยละ 13.71 ตามลำดับ ในขณะที่เพชรเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 8.41
ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 คือ ฮ่องกง ซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.57 จากการส่งออกเพชรเจียระไนและเครื่องประดับทองไปยังตลาดนี้ได้ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากความตึงเครียดจากการชุมนุมประท้วงต่อต้านการร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการปักกิ่งซึ่งเกิดขึ้นหลายช่วงและกินเวลาหลายวัน ซึ่งนอกจากจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อฮ่องกงแล้ว ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปฮ่องกงลดลง ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกฮ่องกง ออกแถลงการณ์ว่ายอดขายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาลดลงและคาดการณ์ว่ายอดขายโดยรวมตลอดทั้งปีน่าจะปรับตัวลดลง รวมถึงผู้ค้าปลีกที่ทยอยปิดตัวลงไปหลายแห่งแล้ว
การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปลดลง 13.06 เป็นผลจากการส่งออกไปยังเยอรมนี และเบลเยียม ตลาดอันดับ 1 และ 2 ของไทยในภูมิภาคนี้ได้ลดลงร้อยละ 36.29 และร้อยละ 6.16 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปเยอรมนี เป็นเครื่องประดับเงิน ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าลดลง ส่วนตลาดที่ยังเติบโตได้คือ สหราชอาณาจักร ตลาดในอันดับ 3 ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 14.78 โดยสินค้าหลักเป็นเครื่องประดับทอง และสินค้ารองลงมาเป็นเครื่องประดับเงิน ต่างขยายตัวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ผู้บริโภคชาวสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มซื้อเครื่องประดับที่ทำจากโลหะมีค่าราคาไม่แพงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit จึงทำให้เครื่องประดับเงินมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในตลาดนี้
สหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งตลาดหลักเดิมของไทยก็หดตัวลงร้อยละ 3.50 โดยไทยส่งออกเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงินไปยังสหรัฐฯ ได้ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบจากสงครามการค้าที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจอ่อนแรงลง ผู้บริโภคทั้งชาวอเมริกันและนักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย สะท้อนให้เห็นจากยอดขายของ Tiffany & Co. แบรนด์ชั้นนำในสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกมียอดขายในสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4
กลุ่มประเทศตะวันออกกลางปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.48 โดยเป็นผลมาจากการส่งออกไปยังกาตาร์ ตลาดในอันดับที่ 3 ได้ลดลงร้อยละ 13.05 โดยไทยส่งออกสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเพชรเจียระไนไปได้ลดลงเกือบหนึ่งเท่าตัว ในขณะที่การส่งออกเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักยังเติบโตได้ร้อยละ 8.43 ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 44 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.41 จากการส่งออกเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลัก รวมถึงเพชรเจียระไน สินค้ารองลงมา ได้เพิ่มสูงขึ้น สำหรับการส่งออกไปยังอิสราเอล ตลาดในอันดับ 2 ขยายตัวได้เล็กน้อยร้อยละ 0.85 จากการส่งออกสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเพชรก้อนได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.76 ในขณะที่การส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไนลดลงร้อยละ 3.55
การส่งออกไปยังญี่ปุ่นก็ยังคงหดตัวลงต่อเนื่องร้อยละ 9.89 ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณอ่อนแอลง มีผลให้ไทยส่งออกเครื่องประดับทอง สินค้าหลักในสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งได้ลดลง รวมถึงเพชรเจียระไน สินค้ารองลงมาก็หดตัวลงมากเช่นเดียวกัน ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตดีในตลาดนี้คือ เครื่องประดับแพลทินัม ซึ่งยังคงเป็นสินค้าที่นิยมในกลุ่มคู่แต่งงาน
การส่งออกไปไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกลดลงร้อยละ 27.83 เนื่องมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 86 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 31.88 โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังตลาดนี้เป็นเครื่องประดับเงิน ที่หดตัวลงมากถึงร้อยละ 39.57 ส่วนการส่งออกไปยังตลาดรองลงมาอย่างนิวซีแลนด์ ขยายตัวได้ร้อยละ 16.43 จากการส่งออกเครื่องประดับเงินกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเติบโตได้ร้อยละ 30.06 ทั้งนี้ ผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินอันดับ 1 ของไทยไปยังทั้งสองตลาดคือ บริษัท แพนดอร่า
รัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช เป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญที่หดตัวลงมากร้อยละ 78.85 เนื่องมาจากการส่งออกไปยังรัสเซีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 77 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 80.98 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง และการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ต้นปี 2562 จากเดิมร้อยละ 18 เป็นร้อยละ 20 ส่งผลให้ไทยส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมา และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนได้ลดลงมาก อีกทั้งตลาดในอันดับ 3 อย่างยูเครนก็ปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 88.72 จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน อัญมณีสังเคราะห์ และเครื่องประดับทองได้ลดน้อยลงมาก ส่วนอาร์เมเนีย ตลาดในอันดับที่ 2 ยังคงเติบโตได้ร้อยละ 34.84 โดยสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าเท่าตัว ในขณะที่การส่งออกสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไนลดลงเล็กน้อย สำหรับตลาดที่น่าจับตาคือ อุซเบกิสถาน ซึ่งอยู่ในอันดับ 4 มีมูลค่าเติบโตสูงกว่า 17.10 เท่า โดยไทยส่งออกเครื่องประดับทองไปได้เพิ่มขึ้นจากที่ไม่เคยมีการส่งออกมาก่อนในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงเครื่องประดับเทียมที่ขยายตัวสูงกว่า 4.86 เท่า
สำหรับตลาดอื่นๆ ที่เติบโตได้ ได้แก่ อินเดีย อาเซียน และจีน โดยการส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มสูงถึงร้อยละ 95.14 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและวัตถุดิบอย่างเพชรเจียระไน พลอยก้อน และโลหะเงิน ซึ่งอินเดียนำเข้าไปแปรรูปเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกต่อต่างประเทศ
มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเติบโตสูงถึงร้อยละ 50.92 จากการส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา ตลาดในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ได้สูงขึ้นมากถึงร้อยละ 96.12, ร้อยละ 56.37 และร้อยละ 44.11 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์เป็นเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า รองลงมาเป็นเครื่องประดับเทียม ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังเวียดนามเป็นอัญมณีสังเคราะห์ รองลงมาเป็นโลหะเงิน และเพชรเจียระไน สำหรับสินค้าส่งออกหลักไปยังกัมพูชาเป็นเพชรเจียระไน ที่ล้วนเติบโตได้เป็นอย่างดี ในขณะที่การส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดในอันดับ 2 หดตัวลงร้อยละ 11.05 เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนได้ลดลงมากถึงร้อยละ 74.63 ในขณะที่การส่งออกเครื่องประดับทอง สินค้าหลักเติบโตได้ไม่มากนักเพียงร้อยละ 5.03
ส่วนการส่งออกไปยังจีนขยายตัวได้ร้อยละ 0.18 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน สินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 76 ได้สูงขึ้นร้อยละ 15.16 โดยผู้ส่งออกหลักไปยังจีนคือ บริษัท แพนดอร่า สะท้อนถึงความนิยมบริโภคสินค้าหรูของผู้มีกำลังซื้อในจีนได้เป็นอย่างดี
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
30 กรกฎาคม 2562
*** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ