
สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562
การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562 มีมูลค่า 4,582.96 ล้านเหรียญสหรัฐ (146,604.18 ล้านบาท) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 25.93 (ร้อยละ 25.57 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากนำเข้าสินค้าสำคัญหลายรายการซึ่งส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90 เป็นการนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะทองคำฯ ที่มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 60 ปรับตัวลดลงร้อยละ 35.58 ส่วนวัตถุดิบที่ขยายตัวได้ดีคือ เพชรก้อนและพลอยสี
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562 มีมูลค่าหดตัวลงร้อยละ 9.98 (ร้อยละ 9.70 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 4,605.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (145,264.11 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 5,116.38 ล้านเหรียญสหรัฐ (160,873.97 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.54 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 3,043.18 ล้านเหรียญสหรัฐ (96,000.12 ล้านบาท) ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 2.84 (ร้อยละ 2.51 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า
1.สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน หดตัวลงร้อยละ 6.68 และร้อยละ 15.99 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับเทียม เติบโตได้ร้อยละ 3.61 และร้อยละ 9.50
2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูป เพชรเจียระไน ลดลงร้อยละ 7.43 ในขณะที่พลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน กลับมาเติบโตได้ในแนวบวกร้อยละ 8.73 และร้อยละ 12.26 ตามลำดับ
ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 คือ ฮ่องกง หากแต่มีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.56 ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน ทำให้เกิดการชะลอการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งผ่านฮ่องกงไปยังจีนอีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนฮ่องกงยังระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยจะใช้จ่ายเพื่อหาประสบการณ์มากกว่าซื้อเครื่องประดับ ทำให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปยังฮ่องกงได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน เว้นเพียงพลอยเนื้อแข็งเจียระไนที่ยังเติบโตได้เล็กน้อยร้อยละ 3.33
การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป มีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.13 เนื่องจากการส่งออกไปยังเยอรมนี ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 31 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 32.18 โดยสินค้าส่งออกหลักราวร้อยละ 88 เป็นเครื่องประดับแท้ ที่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับเงินได้ลดลงร้อยละ 20.24 ส่วน เบลเยียม อิตาลี และสหราชอาณาจักร ตลาดส่งออกในอันดับ 2, 3 และ 4 ยังคงเติบโตได้ร้อยละ 7.23, ร้อยละ 41.73 และร้อยละ 19.28 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน สินค้าหลักส่งออกไปยังอิตาลีเป็นเครื่องประดับทอง และรองลงมาเป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรเป็นเครื่องประดับทอง ที่ต่างมีมูลค่าเติบโตได้เป็นอย่างดี
ตลาดส่งออกสำคัญอื่นที่หดตัวไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก รัสเซียและกลุ่มเครือรัฐเอกราช ต่างมีมูลค่าลดลงร้อยละ 11.70, ร้อยละ 26.35 และร้อยละ 77.81 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศเหล่านี้อ่อนแรงลง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง โดยสินค้าส่งออกสำคัญไปญี่ปุ่นเป็นเพชรเจียระไนและเครื่องประดับเงินมีมูลค่าลดลงต่อเนื่อง ส่วนในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกนั้น ออสเตรเลีย เป็นตลาดอันดับ 1 ซึ่งสินค้าหลักส่งออกไปยังตลาดนี้เป็นเครื่องประดับเงิน รองลงมาเป็นเครื่องประดับทอง ก็ต่างมีมูลค่าลดลง สำหรับตลาดหลักในกลุ่มรัสเซียและกลุ่มเครือรัฐเอกราชคือ รัสเซีย ซึ่งทั้งสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้ารองลงมาอย่างพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนและเครื่องประดับทอง ต่างหดตัวลง อย่างไรก็ดี อาร์เมเนีย ตลาดอันดับ 2 ในภูมิภาคนี้ยังคงเติบโตได้สูงกว่า 1.35 เท่า จากการส่งออกเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ส่วนตลาดอื่นที่เติบโตได้ อาทิ สหรัฐอเมริกา ที่กลับมาเติบโตเป็นบวกเล็กน้อยร้อยละ 0.77 จากการส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบอย่างพลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเพชรเจียระไน ได้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่สินค้าสำเร็จรูปซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน มีมูลค่าลดลง
กลุ่มประเทศตะวันออกลางมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.45 เนื่องจากส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 43 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.80 โดยสินค้าส่งออกหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 67 ไปยังตลาดนี้คือ เครื่องประดับทอง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยละ 1.48 อีกทั้ง ไทยยังส่งออกไปยังอิสราเอล ตลาดที่อยู่ในอันดับ 3 ได้สูงขึ้นร้อยละ 11.63 โดยสินค้าส่งออกหลักเป็นเพชรเจียระไนและเพชรก้อน ต่างเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกไปยังตลาดนี้ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทที่ตั้งฐานการผลิตในไทย ส่งออกกลับไปยังบริษัทแม่ในอิสราเอล เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังตลาดอื่นๆ ส่วนการส่งออกไปยังกาตาร์ ตลาดในอันดับ 2 หดตัวลงต่อเนื่องร้อยละ 12.71 จากการส่งออกเครื่องประดับทองเกือบทั้งหมดได้ลดลงร้อยละ 9.63
การส่งออกไปยังอินเดียมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 50.37 แม้ว่าสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไนจะหดตัวลงร้อยละ 4.99 แต่สินค้ารองลงมาอย่างโลหะเงิน พลอยก้อน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ล้วนมีมูลค่าเติบโตได้สูงมากถึง 3.90 เท่า, ร้อยละ 30.68 และ 1.02 เท่า ตามลำดับ
อาเซียน เป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญที่ยังขยายตัวได้ดีร้อยละ 19.86 เนื่องจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 67 ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 44.87 จากการส่งออกเครื่องประดับเทียม ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง และเครื่องประดับทอง สินค้ารองลงมาได้เพิ่มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ไทยยังส่งออกไปยังเวียดนาม ตลาดที่อยู่ในอันดับ 3 ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61.49 จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น
อัญมณีสังเคราะห์ โลหะเงิน และเครื่องประดับทอง ที่ต่างมีมูลค่าขยายตัวสูง สำหรับตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดีคือ กัมพูชา ตลาดที่อยู่ในอันดับที่ 4 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 62.85 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักที่ปรับตัวสูงขึ้นเกือบหนึ่งเท่าตัว สำหรับตลาดเวียดนามและกัมพูชานั้น กำลังซื้อเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่ง IMF คาดว่าเศรษฐกิจของ CLMV จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งราวร้อยละ 6-7 ในปีนี้ ฉะนั้น จึงควรเร่งรุกตลาดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดที่อยู่ในอันดับ 2 หดตัวลงต่อเนื่องร้อยละ 11.23 ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ที่อาจส่งผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ ผู้บริโภคจึงระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินในสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งไปได้ลดลง ในขณะที่เครื่องประดับทอง สินค้าลำดับถัดมายังขยายตัวได้ดีในตลาดนี้
การส่งออกไปจีนเติบโตได้ร้อยละ 8.80 เป็นผลจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 74 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.90 โดยเป็นการนำเข้าเครื่องประดับเงินจาก บริษัท แพนดอร่า ซึ่งสินค้าเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในตลาดจีน ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ ในประเทศจีนไตรมาสแรกของปี 2562 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ขณะที่ยอดขายในตลาดอื่นๆ ยังคงชะลอตัว
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
28 มิถุนายน 2562
*** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ