หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-เมษายน 2562

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-เมษายน 2562

กลับหน้าหลัก
05.06.2562 | จำนวนผู้เข้าชม 2293

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-เมษายน 2562

การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2562 มีมูลค่า 3,710.51 ล้านเหรียญสหรัฐ (118,683.79 ล้านบาท) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 27.34 (ร้อยละ 27.20 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากนำเข้าสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลงโดยเฉพาะทองคำฯ ที่มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 60 มีมูลค่าลดลงมากถึงร้อยละ 36 ส่วนสินค้านำเข้าที่เติบโตคือ พลอยก้อน ซึ่งขยายตัวสูงกว่า 3.78 เท่า ทั้งนี้ ไทยนำเข้าพลอยก้อนมาเพื่อเจียระไน สร้างมูลค่าเพิ่มก่อนส่งออกต่อไป

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2562 มีมูลค่าหดตัวลงร้อยละ 8.30 (ร้อยละ 8.35 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 3,792.59 ล้านเหรียญสหรัฐ (119,586.73 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 4,136.04 ล้านเหรียญสหรัฐ (130,482.25 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.71 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 2,376.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (74,947.88 ล้านบาท) ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6.21 (ร้อยละ 6.22 ในหน่วยของเงินบาท)  

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า

1.สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม ลดลงร้อยละ 15.76, ร้อยละ 6.63 และร้อยละ 9.05 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเทียม ยังขยายตัวได้ร้อยละ 5.56

2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูป เพชรเจียระไนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 15.25 และร้อยละ 98.60 ตามลำดับ ในขณะที่พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ขยายตัวได้ร้อยละ 3.42

ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 ได้แก่ ฮ่องกง ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.49 ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ และอีกส่วนหนึ่งมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักในฮ่องกงเดินทางไปท่องเที่ยวในฮ่องกงลดลง ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดน้อยลงไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลัก รวมถึงสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน

การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ตลาดสำคัญถัดมาก็มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.71  จากการส่งออกไปยังเยอรมนี ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 32 ได้ลดลงร้อยละ 22.90 ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินไปยังเยอรมนีได้ลดลงร้อยละ 18.34 ส่วนตลาดที่ยังคงเติบโตได้คือ เบลเยียม อิตาลี และสหราชอาณาจักร ตลาดในอันดับ 2, 3 และ 4 ซึ่งขยายตัวได้ร้อยละ 7.39, ร้อยละ 49.47 และร้อยละ 19.77 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน สินค้าหลักส่งออกไปยังอิตาลีและสหราชอาณาจักรเป็นเครื่องประดับทอง ที่ล้วนเติบโตได้เป็นอย่างดี 

สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ยังคงลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.22 เนื่องมาจากไทยส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักได้ลดลง โดยส่วนหนึ่งอาจมาจากการชะลอการส่งออกของผู้ส่งออกอันดับ 1 ของไทยอย่างบริษัท แพนดอร่า ซึ่งมียอดขายเครื่องประดับเงินในตลาดสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกลดลงร้อยละ 12 ทั้งนี้ แพนดอร่า อยู่ในช่วงลดต้นทุนและการฟื้นฟูแบรนด์ให้มีชีวิตใหม่ ได้ประกาศปิดร้านค้าปลีกเครื่องประดับที่ไม่ทำกำไรจำนวน 50 แห่งทั่วโลก และลดจำนวนพนักงานโรงงานในไทยจำนวน 1,200 คน หลังจากที่เมื่อต้นปีได้ลดพนักงานไปแล้วราว 700 คน

ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังตะวันออกกลางปรับตัวลดลงร้อยละ 4.98 นั้น จากการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับ-

เอมิเรตส์ ตลาดอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคนี้ได้ลดลงร้อยละ 7.18 โดยสินค้าหลักในตลาดนี้เป็นเครื่องประดับทอง หดตัวลงร้อยละ 1.87 ส่วนหนึ่งยังคงเป็นผลกระทบมาจากการปรับขึ้น VAT ร้อยละ 5 เมื่อปี 2561 และอีกส่วนหนึ่งมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง บริษัทต่างชาติในดูไบกำลังจะปรับลดพนักงานลง และปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ส่วนการส่งออกไปยังกาตาร์ ตลาดสำคัญในอันดับ 2 ก็หดตัวลงร้อยละ 12.22 เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไนลดลงมากถึงเกือบหนึ่งเท่าตัว ในขณะที่สินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองยังคงสามารถเติบโตได้ร้อยละ 9.69 สำหรับการส่งออกไปยังอิสราเอล ตลาดในอันดับ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.53 โดยสินค้าส่งออกหลักทั้งเพชรเจียระไนและพลอยก้อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.42 และร้อยละ 7.59 ตามลำดับ

การส่งออกไปยังญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลง 13.30 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ อีกส่วนหนึ่งมาจากผู้หญิงและคู่แต่งงานซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ซื้อเครื่องประดับมีจำนวนลดลง จึงทำให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงินได้ลดลงร้อยละ 53.87 และร้อยละ 21.18 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักยังคงขยายตัวได้ในตลาดนี้ร้อยละ 12.21

ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกหดตัวลงร้อยละ 27.97 โดยเป็นผลมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 86 ได้ลดลงร้อยละ 33.53 โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังออสเตรเลียเป็นเครื่องประดับแท้ทั้งเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง ต่างมีมูลค่าลดลงร้อยละ 42.37 และร้อยละ 8.37 ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ยังคงเติบโตได้ดีร้อยละ 42.47 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน สินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 60 ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 43.35

สำหรับการส่งออกไปยังรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 78.70 โดยเป็นผลมาจากการส่งออกไปยังรัสเซีย ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดเกือบร้อยละ 80 ได้ลดลงร้อยละ 79.88 เนื่องมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับหลายประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงและกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยลงและหันไปลงทุนเก็บสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น มีผลทำให้ไทยส่งออกเครื่องประดับเงินซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาไปยังรัสเซียได้ลดลงเกือบเท่าตัว ในขณะที่ไทยส่งออกทองคำ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 56 

สำหรับตลาดที่ยังขยายตัวได้ คือ อินเดีย จีน และอาเซียน โดยการส่งออกไปยังอินเดียมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.81 จากการส่งออกสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยก้อนและโลหะเงินที่เติบโตสูงกว่า 3.04 เท่า และ 4.16 เท่า ตามลำดับ แม้ว่าสินค้าส่งออกหลักอย่างเพชรเจียระไน จะหดตัวลงร้อยละ 22.71 ก็ตาม

การส่งออกไปยังจีนขยายตัวร้อยละ 2.14 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.50 ทั้งนี้ ผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินของไทยในจีน คือ บริษัท แพนดอร่า ซึ่งสินค้าเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในตลาดจีน ทำให้ในไตรมาสแรกสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 

มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.50 เนื่องจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดร้อยละ 66 ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 49.27 โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์เป็นเครื่องประดับเทียม เติบโตสูงถึงร้อยละ 26.75 โดยบริษัทผู้ส่งออกอันดับ 1 ของไทยไปยังสิงคโปร์คือ บจก. แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) นอกจากนี้ ไทยยังสามารถส่งออกเครื่องประดับทองไปได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 51.56 อีกทั้งไทยยังส่งออกไปยังเวียดนาม ตลาดในอันดับ 3 ด้วยมูลค่าเติบโตถึงร้อยละ 58.89 โดยสินค้าหลักส่งออกเป็นอัญมณีสังเคราะห์ สินค้าสำคัญรองลงมาเป็นโลหะเงินและเพชรเจียระไน ซึ่งล้วนขยายตัวได้สูงมาก ทั้งนี้ การส่งออกอัญมณีสังเคราะห์นั้น บจก. สวารอฟสกี้ เจมสโตนส์ (ประเทศไทย) เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของไทย คาดว่าส่งออกอัญมณีสังเคราะห์ไปยังบริษัทในเครืออย่างแมรีกอท ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนามเพื่อผลิตเป็นเครื่องประดับ ส่วนการส่งออกไปมาเลเซียตลาดในอันดับ 2 ยังคงหดตัวลงต่อเนื่องร้อยละ 16.79 จากการส่งออกเครื่องประดับแท้ที่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับเงินได้ลดลงร้อยละ 15.65 ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องประดับทอง ยังคงเติบโตได้ร้อยละ 27.25

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

30 พฤษภาคม 2562

 *** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ

สถิติอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2562, ม.ค.-เม.ย.,