
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-มีนาคม 2562
การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2562 มีมูลค่า 2,624 ล้านเหรียญสหรัฐ (84,080.09 ล้านบาท) ปรับตัวลดลงร้อยละ 39.26 (ร้อยละ 39.22 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการนำเข้าทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 55 ลดลงมาก ทั้งนี้ สินค้านำเข้ากว่าร้อยละ 90 อยู่ในหมวดวัตถุดิบและสินค้ากึ่งวัตถุดิบทั้งสิ้น
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2562 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.18 (ร้อยละ 1.70 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 3,166.98 ล้านเหรียญสหรัฐ (99,931.33 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 3,204.72 ล้านเหรียญสหรัฐ (101,660.52 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.11 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำฯ ออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,958.15 ล้านเหรียญสหรัฐ (61,805.93 ล้านบาท) ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6.02 (ร้อยละ 6.34 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า
1.สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม ลดลงร้อยละ 13.08, ร้อยละ 8.08 และร้อยละ 13.02 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเทียม เติบโตได้ร้อยละ 6.67
2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูป พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ขยายตัวร้อยละ 2.72 และร้อยละ 1.44 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 15.02 ตามลำดับ
ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ได้แก่ ฮ่องกง ซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.98 อันเป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ซึ่งล้วนมีมูลค่าหดตัวลงร้อยละ 22.89, ร้อยละ 20.50, ร้อยละ 7.85 และร้อยละ 25.14 ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกพลอยเนื้อแข็ง-เจียระไนยังเติบโตได้ร้อยละ 5.78
ตลาดสำคัญรองลงมาเป็นสหภาพยุโรป ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 2.34 จากการส่งออกไปยังเบลเยียม อิตาลี และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญในอันดับ 2, 3 และ 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.29, ร้อยละ 54.46 และร้อยละ 16.43 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังอิตาลีและสหราช-อาณาจักรเป็นเครื่องประดับทอง ที่ล้วนเติบโตได้เป็นอย่างดี ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างเยอรมนี หดตัวลงร้อยละ 17.47 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับแท้ทั้งเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทองได้ลดลงร้อยละ 13.92 และร้อยละ 45.39 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อีกหนึ่งตลาดหลักเดิมของไทย ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.25 ส่วนหนึ่งมาจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายซื้อสินค้า เนื่องจากกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลและความไม่แน่นอนของการเจรจาข้อพิพาททางการค้ากับจีน ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐอเมริกาได้ลดน้อยลงทั้งสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม เว้นเพียงพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนที่ยังสามารถขยายตัวได้สูงขึ้น
ส่วนตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ กลุ่มประเทศตะวันออกลาง หดตัวลงร้อยละ 9.33 อันเป็นผลจากการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 42 ได้ลดลงร้อยละ 13.23 ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 5 เมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยส่งออกเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 74 ได้ลดน้อยลงร้อยละ 6.67 อีกทั้งไทยยังส่งออกไปยังกาตาร์ และตุรกี ตลาดที่อยู่ในอันดับ 2 และ 4 ได้ลดลงร้อยละ 12 และร้อยละ 17.57 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังกาตาร์ลดลง เนื่องจากสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนหดตัวลงมากถึงเกือบหนึ่งเท่าตัว ในขณะที่เครื่องประดับทอง สินค้าหลักยังคงเติบโตได้ ส่วนตุรกี สินค้าสำคัญหลายรายการไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ล้วนปรับตัวลดลง สำหรับตลาดที่น่าจับตาและมีแนวโน้มเติบโตดีในภูมิภาคนี้คือ โอมาน ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า 1.79 เท่า โดยสินค้าหลักในตลาดนี้คือ เครื่องประดับทอง และสินค้ารองลงมาเป็นเพชรเจียระไน ที่ต่างขยายตัวได้สูงขึ้นมาก
การส่งออกไปยังอินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.29 ถึงแม้ว่าสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไนจะหดตัวลง แต่สินค้าสำคัญรองลงมาอย่างโลหะเงินกลับเติบโตสูงขึ้นมากกว่า 335 เท่า ส่วนการส่งออกไปยังจีนขยายตัวสูงถึงร้อยละ 46.54 โดยสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินเติบโตได้ดีต่อเนื่องถึงร้อยละ 45.64
มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.67 เนื่องจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดร้อยละ 66 ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 49.27 โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์เป็นเครื่องประดับเทียม และสินค้าสำคัญถัดมาเป็นเครื่องประดับทอง ที่เติบโตได้ร้อยละ 22.90 และ 1.37 เท่า ตามลำดับ เวียดนาม ตลาดสำคัญในอันดับ 3 ก็ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 66.08 ซึ่งสินค้าส่งออกหลักไปยังเวียดนามเป็นอัญมณีสังเคราะห์ สินค้ารองลงมาเป็นโลหะเงิน และเพชรเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าเติบโตได้สูงมาก ในขณะที่การส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดในอันดับ 2 ปรับตัวลดลงร้อยละ 33.10 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักในปีที่ผ่านมาได้ลดลงร้อยละ 25.43 ส่วนเครื่องประดับทอง ขยับขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกหลักแทนเครื่องประดับเงินด้วยมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 74.23 ส่วนตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดีคือ กัมพูชา ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1.59 เท่า จากการส่งออกเพชรเจียระไนได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75.61 ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นการนำเข้าของบริษัท Tiffany & Co. ที่ได้เข้าไปตั้งฐานการผลิตและร้านค้าปลีกเครื่องประดับในกัมพูชาตั้งแต่ปี 2556
ส่วนการส่งออกไปยังญี่ปุ่นปรับตัวลดลงร้อยละ 8.35 เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนได้ลดลงมากถึงร้อยละ 44.11 ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนคู่แต่งงานลดลง จึงทำให้ความต้องการบริโภคเครื่องประดับเพชรที่มักใช้ในตลาดคู่แต่งงานลดลง ในขณะที่การส่งออกเครื่องประดับทอง สินค้าหลักยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 23.76
การส่งออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกลดลงร้อยละ 27.61 เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดถึงราวร้อยละ 84 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 33.52 อันเนื่องมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับแท้ทั้งเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทองได้ลดลงร้อยละ 42.98 และ ร้อยละ10.59 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ ตลาดลำดับถัดมายังเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 38.75 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37.70
สำหรับมูลค่าการส่งออกไปยังรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชลดลงร้อยละ 76.12 จากการส่งออกไปยังรัสเซีย และยูเครน ตลาดอันดับ 1 และ 3 ได้ลดลงมากถึงร้อยละ 77.16 และร้อยละ 90.77 โดยการส่งออกไปยังรัสเซียที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาลดลงมากถึงเกือบร้อยละ 90 ในขณะที่รัสเซียหันมานำเข้าทองคำฯ เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 75.37 เนื่องจากมองว่าทองคำเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนการส่งออกไปยังยูเครนที่ลดลงนั้น เนื่องจากไทยส่งออกเครื่องประดับ-เงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในปีก่อนหน้าได้ลดลงถึงเกือบหนึ่งเท่าตัว ในขณะที่ไทยสามารถส่งออกเพชรเจียระไนได้เพิ่มขึ้นจากที่ไม่เคยมีการส่งออกมาก่อนในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนอาร์เมเนีย ตลาดในอันดับ 2 เติบโตได้สูงกว่า 1.10 เท่า จากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนเกือบร้อยละ 40 และสินค้ารองลงมาอย่างพลอย-
เนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นกว่า 2.42 เท่า และร้อยละ 96.26 ตามลำดับ ซึ่งมรกตเป็นสินค้าที่เติบโตดีในกลุ่มพลอย-เนื้อแข็งเจียระไน
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
29 เมษายน 2562
*** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ