TH
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม 2562
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในเดือนมกราคม 2562 หดตัวลดลงร้อยละ 16.56 (ร้อยละ 16.62 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 807.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (26,191.12ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดือนแรกของปี 2561 ที่มีมูลค่า 967.72 ล้านเหรียญสหรัฐ (31,413ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 4 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.25 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ลดลงมาจากการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปในสัดส่วนเกือบร้อยละ 40 นั้น มีมูลค่าลดลงร้อยละ 36.94 รวมถึงเครื่องประดับแท้และเพชร สินค้าส่งออกในอันดับ 2 และ 4 ก็ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.92 และร้อยละ 1.13 ตามลำดับ ฉะนั้น เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 504.74 ล้านเหรียญสหรัฐ (16,372.16 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากเดือนแรกของปีก่อนหน้าร้อยละ 3.50 (ร้อยละ 3.42 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า
1.สินค้าสำเร็จรูปเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.49 และร้อยละ 23.21 ตามลำดับส่วนเครื่องประดับเงิน ปรับตัวลดลงร้อยละ 16.70
2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูปพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนเติบโตร้อยละ 31.70 และร้อยละ 13.54 ตามลำดับขณะที่เพชรเจียระไน มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.59
3.ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนมกราคม 2562 ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 61 ด้วยอัตราการขยายตัวร้อยละ 16.38 และร้อยละ 1.11 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกไปยังอิตาลี ซึ่งขยับขึ้นมาเป็นตลาดอันดับ 1 เบลเยียม และสหราชอาณาจักร ที่อยู่ในอันดับ 3 และ 4 มีมูลค่าเพิ่มสูงถึงร้อยละ 75.48, ร้อยละ 22.38 และร้อยละ 33.37 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังอิตาลีและสหราชอาณาจักรเป็นเครื่องประดับทอง ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน ที่ล้วนเติบโตได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เยอรมนี ขยับลงมาอยู่ในอันดับ 2 ด้วยมูลค่าลดลงร้อยละ 19.91 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนเกือบร้อยละ 80 ได้ลดลงร้อยละ 21.71
มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนแรกของปีนี้ปรับตัวขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงเดือนแรกของปีที่ผ่านมา แต่หากพิจารณามูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2561 พบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 สะท้อนถึงแนวโน้มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ยังคงมีโอกาสขยายตัวได้ต่อไปในตลาดสหรัฐฯโดยสินค้าที่เติบโตได้ดีในตลาดนี้ คือ พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม
ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกง อีกหนึ่งตลาดหลักของไทยมีมูลค่าลดลงร้อยละ 9.74 ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เป็นปัจจัยกดดันทำให้ชาวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักของฮ่องกงลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง มีผลให้ยอดขายเครื่องประดับในฮ่องกงลดลงมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีนี้ มีผลให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไนได้ลดลง
สำหรับตลาดสำคัญอื่น ๆ ที่ยังเติบโตได้ดี คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งขยายตัวได้ร้อยละ 20.13 โดยไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังหลายประเทศสำคัญได้สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล ตุรกี เลบานอน กาตาร์ และโอมาน ตลาดใน 6 อันดับแรก ที่ต่างมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสหรัฐอาหรับ-เอมิเรตส์ เลบานอน กาตาร์ และโอมาน เป็นเครื่องประดับทอง ส่วนสินค้าส่งออกหลักไปยังอิสราเอล และตุรกี เป็นเพชรเจียระไน ที่ล้วนมีมูลค่าขยายตัวสูงขึ้น
มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.03 เนื่องมาจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ มาเลเซีย และกัมพูชา ตลาดหลักใน 3 อันดับแรกได้เพิ่มขึ้น โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์ คือ เครื่องประดับเทียม ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังมาเลเซียและกัมพูชาเป็นเครื่องประดับทอง ที่ต่างเติบโตได้สูงขึ้น
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มีนาคม 2562
*** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ
