
|
Business ข้อมูลธุรกิจ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ข่าว : สรท.เป่าปากส่งออกปี 2562 มีแต่ปัจจัยเสี่ยง สงครามการค้าฉุดอิเล็กทรอนิกส์ทรุดต่อเนื่อง
สรท. ชี้สถานการณ์ส่งออกปี 2562 ปัจจัยเสี่ยงอื้อ พิษสงครามการค้าฉุดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทรุดต่อเนื่อง แนะภาครัฐสนับสนุนเปิดตลาดใหม่ลาตินอเมริกา ระบุสินค้าสิ่งทอ อาหาร และเม็ดพลาสติกสวนกระแสยังเป็นดาวรุ่ง นายชัยชาญ เจริญสุข เลขาธิการ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท.คาดการณ์การขยายตัวของภาคส่งออกไทยในปี 2562 ไว้ที่ 5% ซึ่งลดลงจากปี 2561 ที่ประมาณการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ราว 7 – 7.3% โดยมูลค่าการส่งออกช่วง 11 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ย.) ส่งออกได้รวม 232,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือนสุดท้ายคือธันวาคม หากไทยจะทำเป้าหมายการส่งออกขยายตัวได้ที่ 7% จะต้องส่งออกในเดือนดังกล่าวด้วยมูลค่า 20,513 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหากจะทำเป้าหมาย 7.3% จะต้องส่งออกให้ได้มูลค่า 21,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ “ปัจจัยที่ทำให้ สรท.มองการขยายตัวของภาคส่งออกในปี 2562 ลดลงเหลือเพียง 5% จากพบว่าในปีนี้มีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสงครามการค้าที่กระทบต่อมูลค่าการส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อิเล็กทรอนิกส์ เห็นได้จากเดิมมีการเติบโตเฉลี่ย 10% ขณะนี้กลับมาติดลบอยู่ที่ 3–5% เพราะความต้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ลดลงจากจีนลดลง และปีนี้ยังต้องจับตาราคาน้ำมัน หากยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะกระทบต่อต้นทุนการผลิต” ขณะเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงภาคส่งออกในปี 2562 ยังมีเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาท ซึ่งพบว่าปัจจัยแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะต้องติดตามนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะกระทบต่อค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นหรือไม่ รวมทั้งไทยจะต้องติดตามดูสถานการณ์ทางการเงินในภูมิภาค ต้องเปรียบเทียบค่าเงินคู่แข่ง เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยคุณภาพสินค้า และลดต้นทุนของสินค้าให้ได้เพื่อปรับตัว สำหรับโอกาสทางการส่งออกที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ สรท.ยังประเมินว่ากลุ่มสินค้าประเภทสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร และเม็ดพลาสติก ยังเป็นกลุ่มสินค้าดาวรุ่งที่มีโอกาสส่งออกและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากกระแสรักสุขภาพออกกำลังกายยังดีต่อเนื่อง ทำให้ประเทศคู่ค้ายังมีความต้องการสินค้าสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มเพิ่ม ขณะเดียวกันสินค้าประเภทอาหาร ยังถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย สามารถนำอาหารไปเปิดตลาดใหม่ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ข้อมูลตลาด : สถานการณ์อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เดือนพฤศจิกายน 2561
ภาพที่ 1 แสดงภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เดือนพฤศจิกายน 2561 และ (สะสม) เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2561 ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย ในเดือนพฤศจิกายน 2561 พบว่า การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 589.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.42 แบ่งเป็น (1) การส่งออกกลุ่มสิ่งทอ มีมูลค่า 379.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.01 และ (2) การส่งออกกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 210.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.69 ขณะที่ภาพรวมการนำเข้าของอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมูลค่า 483.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.44 แบ่งเป็น (1) การนำเข้ากลุ่มสิ่งทอ มีมูลค่า 309.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.61 และ (2) การนำเข้ากลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 174.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.16 และส่งผลให้ภาพรวมดุลการค้าเกินดุล คิดเป็นมูลค่า 106.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมดังกล่าว สะสม 11 เดือน (มกราคม - พฤศจิกายน 2561) พบว่า การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 6,568.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.35 แบ่งเป็น (1) การส่งออกกลุ่มสิ่งทอ มีมูลค่า 4,304.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.32 และ (2) การส่งออกกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 2,261.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.56 ขณะที่ภาพรวมการนำเข้า (สะสม) ของอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมูลค่า 4,949.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.99 แบ่งเป็น (1) การนำเข้า (สะสม) กลุ่มสิ่งทอ มีมูลค่า 3,373.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.87 และ (2) การนำเข้า (สะสม) กลุ่มเครื่องนุ่งห่ม มีมูลค่า 1,575.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.93 และส่งผลให้ภาพรวมดุลการค้าเกินดุล คิดเป็นมูลค่า 1,616.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สถานการณ์อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าไทย เดือนพฤศจิกายน 2561 ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้า ในเดือนพฤศจิกายน 2561 พบว่า การส่งออกเครื่องหนังและรองเท้า มีมูลค่า 157.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.02 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น (1) การส่งออกกลุ่มเครื่องหนัง มีมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 20.56 และ (2) การส่งออกกลุ่มรองเท้า มีมูลค่า 52.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.31 ขณะที่ภาพรวมการนำเข้าของอุตสาหกรรมในเดือนดังกล่าว มีมูลค่า 174.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.34 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น (1) การนำเข้ากลุ่มเครื่องหนัง มีมูลค่า 115.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.18 และ (2) การนำเข้ากลุ่มรองเท้า มีมูลค่า 59.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.01 และส่งผลให้ภาพรวมดุลการค้าขาดดุล คิดเป็นมูลค่า 17.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของอุตสาหกรรมดังกล่าว สะสม 11 เดือน (มกราคม – พฤศจิกายน 2561) พบว่า การส่งออกเครื่องหนังและรองเท้า มีมูลค่า 1,630.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.35 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น (1) การส่งออกกลุ่มเครื่องหนัง มีมูลค่า 1,062.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.91 และ (2) การส่งออกกลุ่มรองเท้า มีมูลค่า 568.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.47 ขณะที่ภาพรวมการนำเข้า (สะสม) ของอุตสาหกรรมดังกล่าว มีมูลค่า 1,818.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น (1) การนำเข้า (สะสม) กลุ่มเครื่องหนัง มีมูลค่า 1,329.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.89 และ (2) การนำเข้า (สะสม) กลุ่มรองเท้า มีมูลค่า 488.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.15 และส่งผลให้ภาพรวมดุลการค้าขาดดุล คิดเป็นมูลค่า 188.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สถานการณ์การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2561 การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2561 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.72 (ร้อยละ 13.18 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 11,101.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (355,056.65 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีมูลค่า 12,030.82 ล้านเหรียญสหรัฐ (408,966 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.77 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำพบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 7,133.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (228,339.33 ล้านบาท) ซึ่งมีมูลค่าเติบโตสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 7.29 (ร้อยละ 1.07 ในหน่วยของเงินบาท)
ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน เติบโตร้อยละ 11.22 และร้อยละ 5.09 ตามลำดับ
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.91, |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
Design ออกแบบ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
อุตสาหกรรมเครื่องประดับจากเมืองยามานาซิ
จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) นอกจากจะเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ และเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของญี่ปุ่นแล้ว ยังมีความสำคัญเป็นศูนย์กลางการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงและได้การยอมรับจากตลาดผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของญี่ปุ่นให้เติบโต ความเป็นมาของอุตสาหกรรมเครื่องประดับในเมืองยามานาชิ อุตสาหกรรมเครื่องประดับในเมืองยามานาชิเริ่มต้นขึ้นในราวปี ค.ศ. 1800 จากการทำเหมืองควอรตซ์ที่มีคุณภาพดีและมีความสมบูรณ์ของญี่ปุ่น โดยแร่ควอรตซ์ใส (Rock Crystals) ที่ขุดได้ในพื้นที่จะถูกนำไปเพิ่มมูลค่าโดยการเจียระไนและผลิตเป็นเครื่องประดับออกวางจำหน่าย ส่งผลให้กลายเป็นสินค้าสำคัญของเมืองที่ได้รับความนิยมและทำให้ชื่อเสียงของเมืองยามานาชิเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ต่อมาได้มีการนำเอาพลอยสี ไข่มุกและควอรตซ์ประเภทต่างๆ เข้ามาเจียระไนและผลิตเป็นเครื่องประดับตามสไตล์ของยามานาชิด้วย จนสินค้าที่ผลิตได้มีความหลากหลายและเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภคในวงกว้าง สภาพการผลิตและการค้าในปัจจุบัน เมืองยามานาชิเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องประดับที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น โดยช่างฝีมือประจำท้องถิ่น ได้พัฒนาเทคนิคในการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับขึ้นมาจนมีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ การเจียระไนอัญมณีแบบโคชู และเทคนิคพิเศษในการผลิตเครื่องประดับด้วยโลหะมีค่า ทั้งนี้ ทุกกระบวนการผลิตของเมืองยามานาชิล้วนอยู่ภายใต้กรอบแนวคิด “Monozukuri” ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและการสร้างสรรค์ผลงานให้มีความโดดเด่นเป็นเลิศจนเกิดคุณค่าและการยอมรับจากผู้บริโภค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
Innovation นวัตกรรม เทคโนโลยี |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
เปิดมุมมองเครื่องประดับกับเทคโนโลยีความสวยงามและคุณค่าที่เลือกได้
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตไม่มากก็น้อย กระแสเทคโนโลยีได้เข้าไปอยู่ในหลากหลายธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจเครื่องประดับ ไม่ว่าจะใช้คำว่า “Digital Smart Jewelry” หรือ “Digital Jewelry” หรือ “Smart Jewelry” ในนิยามทางการตลาดล้วนหมายถึง เครื่องประดับที่เสมือนเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้สวมใส่จะได้รับคุณค่าจากความสวยงามในแบบของเครื่องประดับและจากคุณสมบัติการใช้งานทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการออกแบบเครื่องประดับประเภทนี้มีหลายมุมมองที่ควรคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวผ่านรูปแบบของเครื่องประดับและวัสดุที่ใช้ในการทำเครื่องประดับ ซึ่งควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ เลย
นอกจากการเล่าเรื่องผ่านรูปแบบของเครื่องประดับแล้ว การคำนึงถึงวิธีการใช้งานระหว่างผู้สวมใส่กับเครื่องประดับก็เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในส่วนของความเป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบเครื่องประดับและคุณสมบัติในการใช้งาน โดยเมื่อรวมกันแล้วก็จะสามารถกระตุ้นให้ผู้สวมใส่ได้รับประสบการณ์ทางเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้เครื่องประดับประเภทนี้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น เพราะการเลือกใส่เครื่องประดับ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึง Digital Smart Jewelry จัดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่อยู่ระหว่างการทำตลาด ส่งผลให้ศักยภาพทางธุรกิจมีแรงดึงดูดทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค ถึงแม้ว่าเครื่องประดับประเภทนี้วางจำหน่ายอยู่ในตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องไปได้อีก เสมือนว่าตลาดยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นถ้าเปรียบเทียบตามวัฏจักรของสินค้า สิ่งที่ผู้บริโภคหรือผู้ที่สวมใส่ให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความปลอดภัยทั้งในตัวเครื่องประดับและในส่วนของข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่สวมใส่สำหรับเครื่องประดับบางประเภท รวมทั้งอายุการใช้งาน และการดูแลรักษาเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตได้ทำการศึกษาและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในปัจจุบันมีเครื่องประดับประเภทนี้วางจำหน่ายอยู่ในตลาดหลากหลายรูปแบบและมีคุณสมบัติการใช้งานทางอิเล็กทรอนิกส์แตกต่างกันออกไปให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ตามความสนใจ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
Quality มาตรฐานคุณภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กลุ่มผู้ประกอบการรองเท้าในยุโรปมุ่งเน้นในเรื่องของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ในการประชุมโครงการ LIFE GreenShoes4Allที่เมืองปอร์โต มีผู้ประกอบการรองเท้าในยุโรปเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มผู้ประกอบการต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกโดยการส่งเสริมกฎระเบียบในการกำหนดประเภทของรองเท้าที่จัดทำขึ้นใหม่ เพื่อหยุดการแพร่กระจายผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ นำโดยศูนย์เทคโนโลยีรองเท้าโปรตุเกส (CTCP), สมาพันธ์รองเท้ายุโรป (CEC) และพันธมิตรอื่น ๆ โดยโครงการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการและพันธมิตรทางการค้าได้รับผลประโยชน์ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งลดการทิ้งวัตถุดิบและการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ กลุ่มผู้ผลิตรองเท้าในยุโรปมีความต้องการที่จะเพิ่มนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านกระบวนการผลิตและการรีไซเคิล เพื่อตอบสนองปริมาณความต้องการใช้รองเท้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและความน่าดึงดูดโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการลดต้นทุนในการผลิต โครงการ LIFE GreenShoes4All ก่อตั้งขึ้นโดยคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่เมือง SãoJoão da Madeira โดยมีองค์กรวิจัย ศูนย์ฝึกอบรม สมาคมรองเท้าแห่งชาติ และผู้ผลิตรองเท้าและส่วนประกอบ จากเบลเยียม โปรตุเกส โรมาเนีย และสเปนเข้าร่วม โดยโครงการจะส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้วิธีการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับรองเท้า (Environmental Environmental Footprint: PEF) เพื่อลดปัญหาและค่าใช้จ่ายต่างๆที่บริษัทต้องเผชิญและเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
THTI Activities กิจกรรมสถาบันฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สถาบันฯ สิ่งทอ...ร่วมสนับสนุนองค์ความรู้ดันผู้ประกอบการส่งออกจีนและฮ่องกงดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และ นายวิวัฒน์ หิรัญพฤกษ์ ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ร่วมบรรยายพิเศษ หัวข้อ แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจกลุ่มเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น การสร้างสินค้าให้มีมาตรฐานกล การสร้างแบรนด์ให้ดังและแตกต่าง ในสัมมนาเชิงปฎิบัติการ “SME DBANKพารวยกับตลาดออนไลน์จีนและฮ่องกง”เพื่อร่วมให้องค์ความรู้แก่ ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่น โดยมี นายพงชาญ สำเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกล่าวเปิดงาน สำหรับงานดังกล่าวจัดขึ้นโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME BANK) ร่วมกับ องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (THTI) หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคาร SME Bank Tower |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||