
วันนี้ ( 24 กรกฎาคม 2568 ) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 28,649 ล้านดอลลาร์ หรือ 938,533 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ขยายตัว 15.5 % ด้านการนำเข้า มีมูลค่า 27,588.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.1% ดุลการค้า เกินดุล 1,061.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โฆษกกระทรวงพาณิชย์
ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 6 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออก มีมูลค่า166,851 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 15% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 166,914 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.6% ดุลการค้า ขาดดุล 62.2 ล้านดอลลาร์
สำหรับการส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวดี โดยเฉพาะตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน ที่ได้รับปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากการเร่งนำเข้าสินค้าของประเทศคู่ค้าก่อนที่มาตรการภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
ตลาดหลัก ขยายตัว 19.3% โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ 41.9% จีน 23.1% สหภาพยุโรป (27) 11.9% และ CLMV 9.0% ตลาดอาเซียน (5) 6.5% และญี่ปุ่น 3.2%
ตลาดรอง ขยายตัว 1.0% โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ 20.1% รัสเซียและกลุ่ม CIS 14.1% และสหราชอาณาจักร 17.6%
ขณะที่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 14.1% ตะวันออกกลาง 4.5% แอฟริกา 13.7% ลาตินอเมริกา 1.6%
ตลาดอื่น ๆ ขยายตัว 202.4%
ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 41.9% (ขยายตัวต่อเนื่อง 21 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์พลาสติก สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 29.7%
ตลาดจีน ขยายตัว 23.1% (ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยางพารา และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 18.8%
ตลาดญี่ปุ่น ขยายตัว 3.2% (กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 1.2%
ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัว 11.9% (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และเคมีภัณฑ์ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม และเลนซ์ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 9.4%
ตลาดอาเซียน (5) ขยายตัว 6.5% (กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และแผงวงจรไฟฟ้า สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 5.1%
ตลาด CLMV ขยายตัว 9.0% (ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เม็ดพลาสติก และสินค้าปศุสัตว์อื่น ๆ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 11.3%
ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัว 20.1% (ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัว 46.5%
สำหรับแนวโน้มการส่งออกครึ่งหลังของปี 2568 การดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อการค้าไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ ผลของการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีต่างตอบแทนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อทิศทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทย
โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอฉบับใหม่ที่เปิดตลาดมากขึ้นให้กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี คาดว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีที่เหมาะสม และยังสามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายอื่นในภูมิภาคได้ ในระยะยาว
ขณะที่ในส่วนของการบรรเทาผลกระทบ ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมด้วยมาตรการสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจและเกษตรกรรม สำหรับปัจจัยอื่น ๆ ที่คาดว่าจะส่งผลต่อการส่งออกในครึ่งปีหลัง อาทิ ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลไม้ที่กำลังออกสู่ตลาด สงครามในตะวันออกกลาง การชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีการเจรจา การปรับตัวของผู้ส่งออกในการปรับเปลี่ยนแหล่งนำเข้าวัตถุดิบให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของการลดภาษีของสหรัฐฯ สถานการณ์เหล่านี้เป็นประเด็นที่กระทรวงพาณิชย์ยังคงต้องติดตามและหามาตรการรับมือ เพื่อแก้ปัญหา และหาแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมต่อไป
ที่มา : https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/633852