หน้าแรก / THTI Insight / ข่าวรายวัน / สคต. เฉิงตู ชี้ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ เดือด ไทยรับโอกาสดึงฐานผลิต-เพิ่มส่งออก

สคต. เฉิงตู ชี้ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ เดือด ไทยรับโอกาสดึงฐานผลิต-เพิ่มส่งออก

กลับหน้าหลัก
20.04.2568 | จำนวนผู้เข้าชม 286

สนง.สคต. นครเฉิงตู กระทรวงพาณิชย์ รายงาน สงครามภาษีจีน–สหรัฐปะทุหนัก ทรัมป์กดดันภาษี 145% – จีนโต้กลับคุมแร่หายาก ไทยรับบทตัวแปรสำคัญกลางสมรภูมิเศรษฐกิจโลก

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู กรมส่งเสริมกาาค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Taxation) กับหลายประเทศทั่วโลกในวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ 

โดยเฉพาะกับประเทศจีน ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของทรัมป์ที่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากฐานภาษีเดิม 34% ส่งผลให้จีนต้องใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกลับเช่นกัน

เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 สหรัฐได้ประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูง 145% ทำให้จีนต้องประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาจากเดิม 84% เป็น 125% ในเวลาต่อมา ซึ่งตัวเลขภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 เมษายน 2568 เป็นต้นไป พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการปรับเพิ่มภาษีไปมากกว่านี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา หลังจากเว็บไซต์ทำเนียบขาวได้เผยแพร่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสอบสวนตามมาตรา 232 ของกฎหมาย trade Expansion Act 1962 โดยระบุว่า “จีนกำลังเผชิญกับอัตราภาษีสูงสุดถึง 245% อันเป็นผลจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ของจีนเองในช่วงที่ผ่านมา” 

แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการชี้แจงใด ๆ จากหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสับสนให้กับทั่วโลกเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่า การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับสินค้าจากจีนอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราที่สูงเกินจริงนั้น ได้กลายเป็นเพียงเกมตัวเลขที่ไม่มีความหมายในเชิงเศรษฐกิจอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้มีแต่จะยิ่งเผยให้เห็นว่า สหรัฐฯ กำลังใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการบีบบังคับ 

เพื่อใช้อำนาจในลักษณะรังแกและกดดันฝ่ายอื่น สงครามภาษีและสงครามการค้าไม่มีผู้ชนะ จีนไม่ต้องการสู้ แต่ก็ไม่กลัวการต่อสู้ หากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเล่นเกมตัวเลขกับภาษี จีนจะไม่ใส่ใจ แต่หากสหรัฐฯ ยังคงละเมิดผลประโยชน์ของจีนอย่างเป็นรูปธรรม จีนจะตอบโต้กลับอย่างหนักแน่น และเผชิญหน้าอย่างถึงที่สุด

ย้อนไทม์ไลน์สงครามภาษีจีน – สหรัฐฯ

 

  • วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ เริ่มต้นการขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน

  • วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 จีน ตอบโต้โดยกำหนดภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และ 10% สำหรับน้ำมันดิบเครื่องจักรกลการเกษตรและรถยนต์ขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ

  • วันที่ 3 มีนาคม 2568 สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มเติมอีก 10% ซึ่งทำให้อัตราภาษีรวมเป็น 20% ต่อสินค้าจากจีน

  • วันที่ 4 มีนาคม 2568 จีน ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษี 15% สำหรับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและ ถั่วเหลือง รวมถึง 10% สำหรับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ไก่และเนื้อหมู

  • วันที่ 2 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ประกาศการเพิ่มภาษีอีก 34% ทำให้อัตราภาษีรวมสำหรับสินค้าจากจีนเป็น 54%

  • วันที่ 4 เมษายน 2568 จีนตอบโต้โดยเพิ่มภาษี 34% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงไก่และผัก ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 10 เมษายน 2568 และประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าแร่ธาตุหายากชนิดกลางและชนิดหนัก 7 ประเภท

  • วันที่ 8 เมษายน 2568 สหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 50% เป็น 104% เนื่องจากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้

  • วันที่ 9 เมษายน 2568 จีน ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% มีผลตั้งแต่ 10 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

  • วันที่ 10 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ตัดสินใจเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 21% รวมเป็น 125% ภายหลัง มีประกาศมาอีกครั้งว่า อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมกับที่สหรัฐเคยเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดเฟนทานิล ในอัตรา 20% ทำให้อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแท้จริงอยู่ที่ 145%

อีกทั้งยังประกาศระงับการเก็บภาษีสินค้าจากประเทศอื่นเป็นเวลา 90 วัน โดยจะยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% สำหรับ 75 ประเทศยกเว้นจีน เพื่อเปิดทางให้ประเทศเหล่านี้มีการเจรจาการค้า

  • วันที่ 11 เมษายน 2568 จีน ประกาศตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เดิม 84% เป็น 125 % มีผลตั้งแต่ 12 เมษายน 2568 นี้ และจะไม่ขึ้นสูงไปกว่านี้ โดยระบุว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สร้างความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเปิดเผยถึงความวิตกกังวลในทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และปัญหาภายในประเทศ

  • วันที่ 12 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ได้ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าบางประเภทจากจีน เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน อุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และวงจรรวม เป็นต้น 

แต่ต่อมามีรายงานจากสื่อระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า การยกเว้นภาษีสำหรับ สมาร์ทโฟนและสินค้าดิจิทัลอื่น ๆ เป็นการดำเนินการชั่วคราวเท่านั้น 

ขณะที่ วิลเบอร์ รอสส์ (Wilbur Ross) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเพิ่มสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ แยกพิเศษ

  • วันที่ 15 เมษายน 2568 จีนตอบโต้สหรัฐฯ โดยสั่งสายการบินของจีน ระงับการรับมอบเครื่องบินที่ซื้อจากบริษัทโบอิ้งของสหรัฐฯ และหยุดซื้ออุปกรณ์จากบริษัทในสหรัฐฯ

 ผลกระทบที่คาดการณ์จากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจจีน

ผลกระทบต่อการส่งออก

ในปี 2567 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 524.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 14.7 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน การขึ้นภาษี 145% ของสหรัฐฯ ทำให้ช่องทางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เกือบจะถูกตัดขาดในระยะสั้น ทั้งนี้ จีนได้สร้างเส้นทางการค้าทดแทนผ่านการตั้งฐานการผลิต ในประเทศต่าง ๆ เช่น เวียดนาม เม็กซิโก เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่การขึ้นภาษีต่อสินค้าจากจีนที่ผ่านประเทศเหล่านี้อาจทำให้การส่งออกของจีนลดลง

ผลกระทบต่อ GDP

ภาคการส่งออกเป็น 1 ใน 3 ส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจีน ในปี 2567 อัตราการเติบโตของ GDP จีนอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยการส่งออกสุทธิของสินค้าและบริการมีส่วนช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 30.3 และช่วยดึง GDP ให้เติบโตขึ้นร้อยละ 1.5 อย่างไรก็ตาม หากการส่งออกในปี 2568 ลดลง อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลัก

การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะมีผลกระทบมากที่สุดต่ออุตสาหกรรมเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น และสิ่งทอ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีขนาดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งในปี 2567 กลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า) คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ 42% ของการส่งออกทั้งหมด รองมาเป็นกลุ่มสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์และของเล่น คิดเป็น 12.3% และกลุ่มสิ่งทอ คิดเป็น 9.41%

กลยุทธ์การตอบโต้และการปรับตัวของธุรกิจในช่วงสงครามภาษี

1. การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและการวางแผนการค้าในระดับโลก กระจายการผลิตไปยังหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ไทย อินเดีย และเม็กซิโก

การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบอัจฉริยะและดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานนอกจากนี้ยังใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาด วางแผน การผลิต และจัดการคลังสินค้าอย่างยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดจากมาตรการภาษี

2. การกระจายตลาดและการขยายความต้องการภายในประเทศ โดยกระจายตลาดในตลาดเกิดใหม่ เร่งการขยายการลงทุนในประเทศที่อยู่ใน “โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” การขยายสัดส่วนการขายภายในประเทศ ใช้ประโยชน์จากนโยบาย “การบูรณาการการค้าภายในและภายนอกประเทศ” ที่ทำให้กระบวนการการผลิต การกระจายสินค้า และการขายในตลาดภายในและต่างประเทศเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ของรัฐบาล

3.การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การเพิ่มการลงทุนใน R&D เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

4.การควบคุมต้นทุนและการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน

สคต. ณ นครเฉิงตู ได้ให้ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะว่า ข้อได้เปรียบของจีนหลังจากที่ทรัมป์ประกาศการขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนในวันที่ 2 เมษายน 2568 เพียงสองวันต่อมา จีนได้ประกาศการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ แร่แกโดลิเนียม (Gd) แร่เทอร์เบียม (Tb) แร่อิตเทรียม (Y) แร่ซาแมเรียม (Sm) แร่ลูทีเชียม (Lu) แร่สแกนเดียม (Sc) และ แร่ดิสโพรเซียม (Dy) ซึ่งแร่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ เครื่องบินรบขั้นสูง โดยถูกใช้ในหลายส่วน ของเครื่องบินรวมถึงระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องยนต์ของเครื่องบิน 

อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ด้วยการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนเป็นการใช้จุดแข็งของจีนในฐานะผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้สหรัฐฯ ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทหารและเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความต้องการแร่เหล่านี้ในการผลิต

หากจีนยังคงใช้มาตรการนี้ต่อไป จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทหารและการพัฒนานวัตกรรมในสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องหันไปพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลายขึ้น หรือเร่งกระบวนการพัฒนาแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น ๆ 

ไทยกับโอกาสในสงครามภาษีจีน – สหรัฐ

ไทยควรติดตามแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากจีนอย่างใกล้ชิดเนื่องจากบริษัทจีนหลายแห่งเริ่มมองหาแหล่งผลิตทางเลือก เช่น ไทย เวียดนาม และอินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไทยจึงควรเร่งเสริมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากจีน

โอกาสจากสงครามภาษีเพื่อขยายตลาดสินค้าจากไทยสู่จีนและภูมิภาคโดยรอบจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณการค้าระหว่างสองประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไทยจึงควรใช้จังหวะนี้ในการเร่งส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าคุณภาพจากไทยเข้าสู่ตลาดจีน 

โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูป อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งตอบโจทย์ต่อพฤติกรรมการบริโภคภายในประเทศของจีนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้พื้นที่ในจีนตะวันตกและจีนตอนใต้ เช่น มณฑลเสฉวน ยูนนาน และ กว่างซี ซึ่งมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานและตั้งอยู่ในแนวเชื่อมต่อของนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน เป็นฐานสำคัญในการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออกต่อไป

ส่งออกสินค้าทดแทนจากไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ ในช่วงที่สินค้าจีนถูกจำกัดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่สหรัฐฯ เคยนำเข้าจากจีน เช่น เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น และสิ่งทอ โดยไทยควรเร่งพัฒนาแผนการเจาะตลาดสหรัฐฯ อย่างเป็นระบบ 

โดยเน้นการสนับสนุนมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ และการจับคู่ธุรกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากจีนให้ได้มากยิ่งขึ้น

โอกาสของไทยในฐานะหุ้นส่วนทางการค้าและการลงทุน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประเทศที่มีความสัมพันธ์ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างไทย อาจกลายเป็นจุดเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาทิ RCEP และสถานะในอาเซียนเพื่อดึงดูดความร่วมมือในด้านห่วงโซ่อุปทาน โลจิสติกส์ และนวัตกรรมอาหารสุขภาพ

ที่มา : https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/625462

 

สิ่งทอ, เศรษฐกิจ, อัญมณี, ข่าวรายวัน