
KEYPOINTS
รายงาน Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034 ของ กลุ่ม Angsana Council Bain & Company และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์ วิเคราะห์ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักอาเซียน อีก 10 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 5.1%ต่อปี
เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด 5.7% - 6.6% ต่อปี ส่วนไทย คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่ำแค่ 2.8%ต่อปี
ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ การส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยี การพัฒนาตลาดทุน การเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการร่วมมือในระดับภูมิภาค แต่ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันกับจีน
กลุ่ม Angsana Council บริษัทเบน แอนด์ คัมพานี (Bain & Company) และธนาคาร DBS ของสิงคโปร์ เผยแพร่เอกสาร “Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034” ของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนใน 10 ปีข้างหน้า(2567-2577)จะขยายตัวเฉลี่ย 5.1% ต่อปี โดยเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์จะมีการเติบโตสูงสุด ขณะที่ไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยแค่ 2.8%ต่อปี
รายงานชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ การส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยี การพัฒนาตลาดทุน การเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการร่วมมือในระดับภูมิภาค
แต่ยังมีความท้าทายสำคัญ ได้แก่ การแข่งขันกับจีน ที่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะคู่ค้าและนักลงทุนรายใหญ่ในภูมิภาคนี้ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในบางประเทศ และความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์
รายงานระบุว่า โอกาสสำคัญของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ การดึงดูดการลงทุนจากบริษัทต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เช่นยานยนต์ไฟฟ้า และการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค ซึ่งโดยรวมรายงานมองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปนโยบายและการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว
สำหรับการคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product-GDP) ระยะ 10 ปี ในช่วงปี 2567-2577 ของ 6 ประเทศเศรษฐกิจหลักของอาเซียนมี ดังนี้
ประมาณการเศรษฐกิจ6ประเทศอาเซียน
เวียดนาม ขยายตัว 6.6% ต่อปี
ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 6.1% ต่อปี
อินโดนีเซีย ขยายตัว 5.7 % ต่อปี
มาเลเซีย ขยายตัว 4.5% ต่อปี
ไทย ขยายตัว 2.8% ต่อปี
สิงคโปร์ ขยายตัว 2.5% ต่อปี
1. อัตราการเติบโต: คาดว่าเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 6.6% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้
2. ปัจจัยบวก:
เศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออก ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรับประโยชน์จากกลยุทธ์ "China + 1" ของบริษัทต่างชาติ
แหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลากหลาย
การแข่งขันระหว่างจังหวัดที่มีประสิทธิผล
คุณภาพแรงงานและระดับการศึกษาที่สูง
3. ความท้าทาย:
ผลกระทบจากการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต
การชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจและความอ่อนแอด้านสินเชื่อ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์
การขาดแคลนพลังงานและน้ำ
การเคลื่อนไหวช้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
4. การลงทุนจากต่างประเทศ: เวียดนามได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและเทคโนโลยี
5. ทรัพยากรมนุษย์: เวียดนามมีคะแนน Human Capital Index ที่สูง และมีอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่สูงที่สุดในภูมิภาค
6. โครงสร้างพื้นฐาน: เวียดนามมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 5% ของ GDP
7. การพัฒนาทางเทคโนโลยี: เวียดนามกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยี โดยมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาจากบริษัทต่างชาติ
8. ความท้าทายทางการเมือง: พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามต้องสร้างสมดุลระหว่างการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจกับการบริหารจัดการทางการเมือง
โดยสรุป เวียดนามมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องจัดการ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง
1. อัตราการเติบโต: คาดว่าฟิลิปปินส์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 6.1% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้
2. ปัจจัยบวก:
รัฐบาลที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียนที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ประชากรและกำลังแรงงานที่กำลังเติบโต
3. ความท้าทาย:
ปัจจัยการเติบโตแบบดั้งเดิมยังล้าหลังประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน ประสิทธิภาพของรัฐบาล)
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกับจีน อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ระบบราชการที่เคลื่อนไหวช้า อาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปนโยบายที่จำเป็น
4. การลงทุนจากต่างประเทศ: ฟิลิปปินส์พยายามดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคบริการและโครงสร้างพื้นฐาน
5. ทรัพยากรมนุษย์:
ฟิลิปปินส์มีประชากรวัยแรงงานที่กำลังเติบโต
อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานของผู้หญิงยังต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
มีความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด
6. โครงสร้างพื้นฐาน:
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 3% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น
มีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการพลังงานหมุนเวียน
7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: ฟิลิปปินส์มีการเติบโตในภาคเทคโนโลยี แต่ยังล้าหลังประเทศอื่นในภูมิภาคในด้านนวัตกรรม
8. ภูมิรัฐศาสตร์: ท่าทีที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญ
9. การเมือง: หลังยุคดูเตอร์เต ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเชิงบวก โดยมุ่งเน้นสิทธิมนุษยชน นโยบายต่างประเทศ และการปฏิรูปเศรษฐกิจ
โดยสรุป ฟิลิปปินส์มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากประชากรที่กำลังเติบโตและนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโต อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับทักษะแรงงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้
1. อัตราการเติบโต: คาดว่าอินโดนีเซียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 5.7% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้
2. ปัจจัยบวก:
ภาคการแปรรูปโลหะ การทำเหมือง และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเติบโต
การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
เป็นผู้นำในด้านการสร้างนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกิจ
ประชากรและแรงงานที่กำลังเติบโต
3. ความท้าทาย:
กิจกรรมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ นอกเหนือจากสินค้าโภคภัณฑ์
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง
แนวโน้มที่อาจมีนโยบายประชานิยมมากขึ้น
อาจมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายปกป้องตลาดภายในประเทศมากขึ้น
4. การลงทุนจากต่างประเทศ: อินโดนีเซียได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
5. ทรัพยากรมนุษย์: อินโดนีเซียมีประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก แต่ยังมีความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงาน
6. โครงสร้างพื้นฐาน: อินโดนีเซียมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 3% ของ GDP ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น
7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: อินโดนีเซียมีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนบริษัทยูนิคอร์นมากที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาค
8. ตลาดทุน: อินโดนีเซียมีการพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีโอกาสในการพัฒนาเพิ่มเติม
9. การเมือง: การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากการเลือกตั้งในปี 2024 อาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ
โดยสรุป อินโดนีเซียมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับทักษะแรงงาน และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้
1. อัตราการเติบโต: คาดว่ามาเลเซียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 4.5% ต่อปี
2. ปัจจัยบวก:
การเปลี่ยนไปสู่นโยบายที่เน้นการเติบโตเพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ความสำเร็จในอดีตด้านอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และศูนย์ข้อมูลกำลังส่งผลดี
ความเต็มใจในการดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การตัดการอุดหนุน
โอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือกับสิงคโปร์
3. ความท้าทาย:
การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย และรัฐบาลที่มีอำนาจอ่อนแอ
การสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง
ผลกระทบจากการไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันการลงทุนระยะยาว (เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง)
4. การลงทุนจากต่างประเทศ:
มาเลเซียยังคงดึงดูด FDI โดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
มีการลงทุนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
5. ทรัพยากรมนุษย์:
มีคะแนน Human Capital Index ที่ค่อนข้างดีในภูมิภาค
แต่ยังมีความท้าทายในการรักษาและพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะสูง
6. โครงสร้างพื้นฐาน:
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอยู่ที่ประมาณ 8% ของ GDP ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางหลวง Pan Borneo
7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี:
มาเลเซียมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์
มีการพัฒนาในด้านการผลิตขั้นสูงและเทคโนโลยี
8. การเมือง:
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบาย
9. ภูมิภาค:
รัฐต่างๆ เช่น ยะโฮร์ ปีนัง และซาราวัก กำลังดำเนินนโยบายที่ทะเยอทะยานโดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของตน
โดยสรุป มาเลเซียมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี โดยได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการเมืองและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้
1. อัตราการเติบโต: คาดว่าไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 2.8% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้
2. ปัจจัยบวก:
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันดี
บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยมีการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
3. ความท้าทาย:
สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและซับซ้อน
การรวมตัวของธุรกิจในบางภาคส่วนสำคัญ เช่น ค้าปลีกและโทรคมนาคม
ความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ (เช่น สังคมผู้สูงอายุ)
ความอนุรักษ์นิยมของระบบราชการ ซึ่งอาจทำให้การปฏิรูปเป็นไปได้ยาก
4. การลงทุนจากต่างประเทศ:
ไทยยังคงดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
มีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
5. ทรัพยากรมนุษย์:
ไทยมีคะแนน Human Capital Index อยู่ในระดับกลางของภูมิภาค
ยังมีช่องว่างในการพัฒนาทักษะแรงงานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
6. โครงสร้างพื้นฐาน:
ไทยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะประมาณ 5% ของ GDP ซึ่งอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การขยายสนามบินและท่าเรือน้ำลึก
7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี:
ไทยมีความพยายามในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาด
แต่ยังมีความท้าทายในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
8. การเมือง:
รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2566 กำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย
การจัดการกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญสำหรับเสถียรภาพในระยะยาว
โดยสรุป แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งในหลายด้าน แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายทั้งในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ประเทศต้องเผชิญ การปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการส่งเสริมนวัตกรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของประเทศในอนาคต
1. อัตราการเติบโต: คาดว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 2.5% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิเคราะห์ในรายงานนี้
2. ปัจจัยบวก:
เศรษฐกิจเปิดและหลากหลาย มีจุดแข็งในด้านการผลิตขั้นสูง บริการ และการท่องเที่ยว
ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถระดับโลกจากทุกเศรษฐกิจหลัก ด้วยสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคง
รัฐบาลมีการลงทุนอย่างมากเพื่อส่งเสริมการเติบโต
มีความเข้มแข็งในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
3. ความท้าทาย:
ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ การนำเข้าแรงงานต่างชาติเผชิญกับอุปสรรคทางการเมือง
ข้อจำกัดด้านที่ดินและแรงงาน
ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในบางอุตสาหกรรม
4. การลงทุนจากต่างประเทศ: สิงคโปร์ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคการเงินและเทคโนโลยี
5. ทรัพยากรมนุษย์: สิงคโปร์มีคะแนน Human Capital Index สูงที่สุดในภูมิภาค และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาทักษะแรงงาน
6. โครงสร้างพื้นฐาน: สิงคโปร์มีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้วอย่างมาก และยังคงลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ท่าเรือ Tuas Mega Port
7. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: สิงคโปร์เป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาค โดยมีการลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนา
8. ตลาดการเงิน: สิงคโปร์ยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาค แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอื่นๆ
โดยสรุป แม้ว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ก็ยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการเงิน อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะในด้านประชากรศาสตร์และการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ที่มา: Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034
ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/603246