
หลังจากกระทรวงพาณิชย์ เผยยอดการส่งออกไทยเดือน พ.ย. 66 ขยายตัว 4.9 % มูลค่า 23,479.7 ล้านบาท แม้จะถือเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แต่เมื่อดูในภาพรวมแล้ว ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 66 ภาคการส่งออก มีมูลค่า 261,770.3 ล้านดอลลาร์ ยังคงติดลบ 1.5% (ติดลบ 1.8% มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท)
กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า เดือน ธ.ค. 66 เป็นเดือนสุดท้ายของปี ที่จะชี้วัดว่าภาคการส่งออกในภาพรวมของไทยจะปิดปีอย่างไร หากมีแนวโน้มที่ดี การส่งออกไทยอาจจะติดลบน้อยกว่า 1.5% ก็เป็นได้
เมื่อดูสถิติเดือน ธ.ค.ย้อนหลัง 5 ปี พบว่าส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากที่ได้เท่าค่าเฉลี่ย การส่งไทยจะติดลบราว 1%
หากทำได้ 23,000 ล้านดอลลาร์ จะติดลบ 0.8%
หากได้ 25,654 ล้านดอลลาร์ การส่งออกทั้งปีจะอยู่ที่ 0%
ก่อนหน้านี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Go Thailand : Green Economy - Landbridge โอกาสทอง หัวข้อ “Exploring the Dynamics : การค้าโลกใหม่” จัดโดยฐานเศรษฐกิจ
โดยระบุว่า “โลกการค้าใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เราต้องเข้าใจการเกลี่ยนเปลง รับมือ และต่อรอง อย่าจำยอมรับกติกาบางอย่างที่ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการทำการค้า โดยเฉพาะในช่วงต่อจากนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการขับเคลื่อนการเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA หลายกรอบ เช่นเดียวกับการเจรจาการค้าใด ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นก็ต้องต่อรองให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจด้วย”
คำกล่าวของนายภูมิธรรม กำลังชี้ให้เห็นว่าภาครัฐ กำลังเดินหน้าเร่งเจรจา FTA อย่าต่อเนื่อง ตามคำเรียกร้องของภาคเอกชนหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าไทย ซึ่งปัจจุบันไทยมี FTA กับคู่ค้า 14 ฉบับ จำนวน 18 ประเทศ ประกอบด้วย สมาชิกกลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยมีสัดส่วนการค้า ในปี 2565 คิดเป็น 60.9% ของการส่งออกไทยไปทั่วโลก
ปัจจุบัน ไทยอยู่ระหว่างเจรจา FTA หลายกรอบ ซึ่งมี 3 ฉบับที่ใกล้จะปิดดีลได้ในช่วงปี 2567 ได้แก่
1.ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)
เจรจาแล้ว 4 รอบ
กรอบระยะเวลา : ปิดดีลสิ้นปี 66
หลักการ : กำลังซื้อสูง จากภายในประเทศและการท่องเที่ยว
ทำเลที่ตั้ง : ศูนย์กลางโลจิกติกส์กระจายสินค้าของไทยสู่ตะวันออกกลาง
ผลการศึกษา : ช่วยให้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่ม 11,194 -12,567 ล้านบาท
สินค้าที่ได้รับประโยชน์ : อาหาร สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง และพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน การขนส่ง การเงิน และบริการด้านธุรกิจ
2.ไทย-ศรีลังกา
เจรจาแล้ว 8 รอบ
กรอบระยะเวลา : ปิดดีลต้นปี 67
หลักการ : มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
ทำเลที่ตั้ง : จุดยุทธศาสตร์เส้นทางการเดินเรือมหาสมุทรอินเดียเชื่อมเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ใช้เป็น “เป็นฐานการผลิตสินค้า”
ผลการศึกษา : เพิ่ม GDP ไทย 4,130 ล้านบาท , การลงทุนของไทยในศรีลังกา เพิ่มขึ้นปีละ 1,912 ล้านบาท
สินค้าที่ได้รับประโยชน์ : ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะ น้ำตาล พลาสติก และ อุตสาหกรรมที่จะลงทุนในศรีลังกา เช่น อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งทอ อัญมณี เครื่องประดับ
3.ไทย-เอฟตา (สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป : EFTA)
เจรจากันไปแล้ว 7 รอบ
กรอบระยะเวลา : ปิดดีลกลางปี 2567
หลักการ : มาตรฐานสูงเพิ่มความสามารถการแข่งขันของไทย ดึงดูดการลงทุน และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สินค้าที่ไทยจะได้ประโยชน์ :
กลุ่มเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ข้าวโพดหวาน อาหารสำเร็จรูป อาหารสุนัขและแมว ผลไม้เมืองร้อน แป้ง น้ำมันพืช ไก่แปรรูป น้ำตาล และผลิตภัณฑ์ เส้นก๋วยเตี๋ยว ผักและผลไม้กระป๋อง น้ำผลไม้
กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องแต่งกาย ยานยนต์ และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่ “กลุ่มบริการ” เช่น การท่องเที่ยว การเงิน โทรคมนาคม การแพทย์ สุขภาพ พลังงานสะอาด ด้านวิชาชีพ
ทั้งนี้ หากดูจากไทม์ไลน์แล้ว การเจรจา FTA ไทย-ยูเออี น่าจะเป็นดีลเดียวใน 3 ฉบับนี้ ที่ไม่สามารถปิดดีลได้ตามกรอบระยะเวลา ซึ่งการเจรจาคืบหน้ากว่า 80% แล้ว ส่วนการเจรจาอีก 2 ฉบับคงต้องลุ้นกันพอสมควร โดยเฉพาะ FTA ไทย-เอฟต้า ที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดให้มีการประชุมกันอีก 3 ครั้ง ในช่วงเดือน ม.ค. มี.ค. และ เม.ย. 2567
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาเป็นผลทั้งหมด ไทยจะมีสัดส่วนการค้ากับประเทศที่มี FTA เพิ่มขึ้น จาก 60.9% เป็น 66.7% พร้อมตั้งเป้าเพิ่มเป็น 80% ในปี 2570
ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/584318