
จากที่คณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ บอร์ดอีอีซี ได้เห็นชอบร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566 –2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยจะนำร่างแผนดังกล่าวสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้
โดยแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เผยว่า แผนปฏิบัติการอีอีซีระยะที่ 2 มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่ราว 5 แสนล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (GPCP EEC) ขยายตัวเฉลี่ย 6.3 % ในเรื่องนี้มุมมองภาคเอกชนมีความเห็นอย่างไรนั้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บอร์ดบีโอไอ) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่อีอีซีระยะที่ 2 จะไปถึงเป้าหมายดังกล่าว แต่ต้องเร่งดำเนินการในหลายด้าน เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ หรือตามที่ตกลงไว้กับคู่สัญญาภาคเอกชน เช่น รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ระบบราง และสนามบินต่าง ๆ ที่ค้างท่ออยู่
รวมถึงการบริหารจัดการและวางแผนรองรับเรื่องน้ำเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ไม่ให้เกิดการขาดแคลน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ การแก้ปัญหาความแออัดในส่วนของท่าเรือแหลมฉบัง และความแออัดของการจราจรในการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือที่เวลานี้เริ่มติดขัดมาก และได้รับการร้องเรียนเข้ามามาก โดยเฉพาะการส่งออกรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญ ทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น
“โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ควรจะต้องเร่งรีบทำในเรื่องโลจิสติกส์โดยเฉพาะทางรางเข้ามาเสริม ตอนนี้ลำพังของการส่งออกรถยนต์ที่ไปต่างประเทศก็แออัดมาก ถนนติดขัดมากที่ไปถึงท่าเรือ และต้นทุนก็สูง ดังนั้นควรเร่งดำเนินการในเรื่องที่กล่าวมา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน และช่วยลดต้นทุน อันนี้ก็จะเป็นตัวหนึ่งที่ทำให้ดึงดูดนักลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นได้” นายเกรียงไกร กล่าว
ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/582953