
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2566
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2566 ปรับตัวลดลงร้อยละ 17.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2565 ที่มีมูลค่า 10,880.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 8,970.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.78 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 5,357.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 5.47 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน พบว่า เดือนสิงหาคม 2566 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 2.14 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดใน 8 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.27 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม ซึ่งหดตัวลงร้อยละ 37.72 ขณะที่ราคาทองคำโดยเฉลี่ยในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,920.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) โดยราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงติดต่อกัน อันเนื่องมาจากยังคงได้รับแรงกดดัน จากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณให้ความสำคัญการการควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง แต่ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ทำให้คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ ขณะที่กองทุนทองคำ SPDR ยังขายทองคำออกมาต่อเนื่องตลอดเดือน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม มีการขายสุทธิ 22.83 ตัน โดยแนวโน้มในระยะต่อไปยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองยังมีทิศทางเป็นขาลง แต่อาจมีการกลับตัวปรับเพิ่มขึ้นในช่วงสั้น ๆ บางช่วง
เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 30.54 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.92 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับทอง ซึ่งเติบโตสูงขึ้นร้อยละ 27.36 จากการส่งออกไปยังตลาดอันดับที่ 2-5 อย่างฮ่องกง สหราชอาณาจักร อิตาลี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 176.97, ร้อยละ 15.66, ร้อยละ 61.99 และร้อยละ 17.13 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดอันดับ 1 อย่างสหรัฐอเมริกา ลดลงร้อยละ 11.33 ส่วนเครื่องประดับเงิน ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.58 มาจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดในอันดับที่ 1-2 และ 4-5 ลดลงร้อยละ 20.74, ร้อยละ 19.98, ร้อยละ 30.39 และร้อยละ 13.38 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดในอันดับ 3 อย่างอินเดีย ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.13 การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม ขยายตัวได้ร้อยละ 8.94 เป็นผลจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง และอิตาลี ตลาด อันดับ 1 และ 4-5 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.19, ร้อยละ 148.19 และร้อยละ 175.89 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังตลาดในอันดับ 2 และ 3 ทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ลดลงร้อยละ 2.57 และ ร้อยละ 21.81 ตามลำดับ
พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 มีสัดส่วนร้อยละ 13.92 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 91.76 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และ มรกต) ซึ่งมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 85.44 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และฝรั่งเศส ตลาดทั้ง 5 อันดับแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 402.04, ร้อยละ 20.28, ร้อยละ 20.79, ร้อยละ 9.32 และร้อยละ 42.43 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน สามารถเติบโตได้ร้อยละ 130.56 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ 5 อันดับแรก อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 414.56, ร้อยละ 55.92, ร้อยละ 143.26, ร้อยละ 176.21 และร้อยละ 193.07 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 4 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 9.19 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย หดตัวลงร้อยละ 31.60 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 31.75 จากการส่งออกไปยังเบลเยียม อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ตลาดสำคัญในอันดับ 2-4 สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2566 ลดลงร้อยละ 14.08, ร้อยละ 82.22 และร้อยละ 43.61 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังตลาดอันดับ 1 และ 5 อย่างฮ่องกงและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.83 และร้อยละ 3.90 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.18 ปรับตัวลดลงร้อยละ 9.29 อัน เนื่องมาจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส ลิกเตนสไตน์ และสวิตเซอร์แลนด์ ได้ลดลงร้อยละ 1.33, ร้อยละ 4.29, ร้อยละ 9.95, ร้อยละ 40.96 และร้อยละ 2.69 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในรอบ 8 เดือนแรกของปี 2566 นั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลกที่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่อง การใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามภาคบริการของประเทศคู่ค้าที่ขยายตัว รวมทั้งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากทั่วโลกในการสำรวจความคิดเห็นแบบรายเดือนของ Ipsos บริษัทด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคของฝรั่งเศส พบว่า หลายประเทศในยุโรปและเอเชียปรับตัวดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกในหลายรายการรวมทั้งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังขยายตัว โดยไทยสามารถส่งออกไปยังฮ่องกง สิงคโปร์อิตาลีและ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญอันดับ 1 และ 7-9 ได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 146.04, ร้อยละ 53.59, ร้อยละ 43.73 และ ร้อยละ 21.14 ตามลำดับ ส่วนสหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียม ตลาดอันดับ 2-6 และ 10 ลดลงร้อยละ 12.01, ร้อยละ 19.72, ร้อยละ 59.34, ร้อยละ 10.43, ร้อยละ 8.02 และร้อยละ 7.33 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อน เจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 402.04, ร้อยละ 59.83, ร้อยละ 176.97, ร้อยละ 414.56 และร้อยละ 24.07 ตามลำดับ มีเพียงเครื่องประดับเทียมที่ลดลงร้อยละ 4.29
มูลค่าการส่งออกไปยัง สิงคโปร์ ที่เพิ่มขึ้นมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม (มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 59) เพิ่มขึ้นร้อยละ 317.08 และร้อยละ 8.19 ตามลำดับ รวมทั้งสินค้ารองมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเพชรเจียระไนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.08 และร้อยละ 50.33 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง อิตาลี ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นนั้น จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.99, ร้อยละ 9.32, ร้อยละ 193.07 และร้อยละ 85.98 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังขยายตัวได้ดีเนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองมาอย่างเพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.13, ร้อยละ 3.90 และร้อยละ 261.74 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไป สหรัฐอเมริกา ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.01 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน (ที่มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 64) ได้ลดลงร้อยละ 11.33 และร้อยละ 20.74 ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.28 และร้อยละ 55.92 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไป เยอรมนี หดตัวลงร้อยละ 19.72 มาจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน (ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนร้อยละ 74) รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเครื่องประดับทอง ได้ลดลงร้อยละ 19.98, ร้อยละ 19.10 และร้อยละ 31.65 ตามลำดับ ส่วนสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับเทียม ยังเติบโตได้ร้อยละ 1.95
ส่วนการส่งออกไปยัง อินเดีย ลดลงร้อยละ 59.34 เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 31 ลดลงร้อยละ 82.22 ส่วนสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังขยายตัวได้ร้อยละ 59.13, ร้อยละ 13.87 และร้อยละ 58.67 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไป สหราชอาณาจักร มีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.43 เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ลดลงร้อยละ 30.39, ร้อยละ 19.03, ร้อยละ 13.71 และร้อยละ 10.50 ตามลำดับ ส่วนสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองและเพชรเจียระไน ยังเติบโตได้ร้อยละ 15.66 และร้อยละ 73.97 ตามลำดับ
การส่งออกไป สวิตเซอร์แลนด์ ที่ลดลงนั้น จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนและเครื่องประดับเทียม ที่ลดลงร้อยละ 27.53 และร้อยละ 2.69 ตามลำดับ ขณะที่สินค้าสำคัญอื่น ๆ อย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไนและเครื่องประดับทอง ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
สำหรับการส่งออกไปยัง เบลเยียม ซึ่งลดลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (ที่มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 77) ได้ลดลงร้อยละ 14.08 ส่วนเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับทอง ยังขยายตัวได้
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคมปีนี้ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 17.55 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.47 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.01 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 โดยสินค้าของไทยที่เติบโตได้ดีคือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 47.9 ในเดือนสิงหาคม จากระดับ 49.0 ในเดือนกรกฎาคม โดยลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน การที่ดัชนีปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการลดลงของคำสั่งซื้อใหม่ การชะลอตัวของการจ้างงาน ขณะที่เฟดมีเป้าหมายให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 2 จึงมีโอกาส ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อกดดันเงินเฟ้อต่อไป ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนช่วงไตรมาส 3 ยังชะลอตัวจากตัวเลขยอดค้าปลีกหดตัวมากสุดในรอบปี ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจติดลบ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จึงมีความเสี่ยงที่ยูโรโซนอาจเผชิญกับ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ช่วงจับจ่ายใช้สอยในเทศกาลท้ายปีจะกระตุ้นให้การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการซื้อสินค้าเพื่อเป็นรางวัลให้ตนเองและเป็นของขวัญคึกคักมากขึ้น จึงอาจมีส่วนทำให้มีแรงซื้อสินค้าเข้ามามากขึ้นในช่วงท้ายของปีนี้
แม้ว่าสถานการณ์ในรอบ 8 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยบวกหลายประการ รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก และเป็นปัจจัยบวกทำให้ไทยรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้รวมทั้งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องยังเป็นแรงหนุนหลักในปีนี้ ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว การใช้แนวทาง USE ที่น่าสนใจให้สินค้าและบริการสามประการ อย่าง U : Unique การพัฒนาสินค้าให้โดดเด่นและ แตกต่างจากคู่แข่ง มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเฉพาะตัว S: Soft Power ใช้ประโยชน์จากการสร้างเรื่องราวให้กับสินค้าและบริการโดยอาจเชื่อมโยงกับภาคบริการและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่รู้จักถึงความเป็นไทยในนานาประเทศ E: E-Commerce ศึกษาการใช้ช่องทางการนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมสร้างช่องการติดต่อสื่อสารออนไลน์กับผู้บริโภคให้สะดวกรวดเร็ว รวมถึงมีช่องทางชำระเงินและจัดส่งสินค้าที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย เชื่อถือได้ นอกจากนี้ การจัดทำและนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึกในตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก ยังสามารถนำมาพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการ ทำให้รู้และเข้าใจ Pain point ของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้เราจะสามารถสร้างและนำเสนอคุณค่า ให้กับผลิตภัณฑ์ของเราให้ตรงใจลูกค้าได้มากที่สุด
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ตุลาคม 2566
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”