
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2566
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2566 ลดลง ร้อยละ 15.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2565 ที่มีมูลค่า 8,714.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่7,361.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็น สินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.21 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการ ส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,198.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 9.01 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน พบว่า เดือนมิถุนายน 2566 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.15 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2566
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในครึ่งแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.96 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม ซึ่งหดตัวลงร้อยละ 34.95 เช่นเดียวกับราคาทองคำโดยเฉลี่ยในตลาดโลกที่ยังปรับตัวลงต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 1,942.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) อันเนื่องมาจากความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาทองคําถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง ทว่ายังมีประเด็นที่สำคัญอย่างภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและประเด็นสงครามระหว่าง รัสเซียและยูเครนซึ่งยังคงไม่มีทีท่าจะยุติลงในอนาคตอันใกล้ เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะหนุนให้ราคาทองอาจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จากความกังวลในสถานการณ์ดังกล่าว
เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 28.11 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.13 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับทอง ซึ่งยังขยายตัวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.98 เนื่องจากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี ตลาดอันดับที่ 2-5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 197.15, ร้อยละ 12.21, ร้อยละ 17.25 และร้อยละ 63.14 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐอเมริกา ตลาดอันดับที่ 1 ลดลงร้อยละ 5.69 ส่วน เครื่องประดับเงิน ปรับตัวลงร้อยละ 17.04 จากการ ส่งออกไปยังตลาดอันดับ 1-3 และ 5 อย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ได้ลดลงร้อยละ 19.10, ร้อยละ 16.24, ร้อยละ 40.05 และร้อยละ 15.84 มีเพียง อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 4 ที่ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.22 ตามลำดับ การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.01 จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง และอิตาลี ตลาดในอันดับ 1 และ 4-5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 64.35, ร้อยละ 113.04 และร้อยละ 284.12 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยัง ตลาดอันดับที่ 2 และ 3 ทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ลดลงร้อยละ 5 และร้อยละ 16.67 ตามลำดับ
พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 มีสัดส่วนร้อยละ 14.67 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 107.83 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.66 เป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดใน 5 อันดับแรกอย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และฝรั่งเศส ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 540.04, ร้อยละ 24.31, ร้อยละ 21.18, ร้อยละ 23.42 และร้อยละ 39.10 ตามลำดับ ส่วน พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 148.93 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และอินเดีย ตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 524.42, ร้อยละ 49.13, ร้อยละ 161.96, ร้อยละ 129.49 และร้อยละ 74.50 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 4 ซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.81 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าลดลงร้อยละ 30.40 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ หดตัวลงร้อยละ 30.51 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญในอันดับ 2-4 อย่างเบลเยียม อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ได้ลดลงร้อยละ 12.13, ร้อยละ 82.76 และ ร้อยละ 44.79 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกงและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตลาดอันดับ 1 และ 5 ยังเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 75.87 และร้อยละ 11.89 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 ในสัดส่วนร้อยละ 1.91 ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.15 เนื่องมาจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ลิกเตนสไตน์ ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์มีมูลค่าลดลงร้อยละ 12.22, ร้อยละ 5.71, ร้อยละ 37.15, ร้อยละ 12.93 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2566 นั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.01 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยบวกหลายประการอย่าง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยเฉพาะภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีที่สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการบริการอยู่ที่ระดับสูงกว่า 55 ขณะที่ปัญหาคอขวดของ อุปทานในภาคการผลิตคลี่คลายลง รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มปรับลดลง ช่วยลดแรงกดดันด้านราคาที่จะกระทบกำลังซื้อผู้บริโภคสนับสนุนให้การบริโภคอื่น ๆ อย่างเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับยังมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดสำคัญหลายตลาด อีกทั้งปัจจุบันยังมีความต้องการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นตามลำดับอีกด้วย ทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังเติบโตได้ โดยไทยสามารถส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ อิตาลีและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดสำคัญอันดับ 1 และ 7-10 ได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 184.47, ร้อยละ 22.50, ร้อยละ 73.94, ร้อยละ 47.27 และร้อยละ 6.05 ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ตลาด อันดับที่ 2-6 ลดลงร้อยละ 8.99, ร้อยละ 17.52, ร้อยละ 64.86, ร้อยละ 16.17 และร้อยละ 2.78 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การส่งออกไปยัง ฮ่องกง มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญเกือบทุกรายการสูงขึ้น ได้แก่ พลอยเนื้อแข็ง และเนื้ออ่อนเจียระไน เพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 540.04, ร้อยละ 524.42, ร้อยละ 75.87, ร้อยละ 197.15 และร้อยละ 23.62 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ขยายตัวได้นั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองมาอย่างเพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.25, ร้อยละ 11.89 และร้อยละ 241.87 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สิงคโปร์ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับแพลทินัม (มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 65) ได้สูงขึ้นร้อยละ 463.93 และร้อยละ 64.35 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับเงิน หดตัวลงร้อยละ 42.88 และร้อยละ 29.66 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง อิตาลี ที่เติบโตสูงขึ้นนั้น จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง (ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 56) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.14 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาอย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไนและเครื่องประดับเงิน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.42, ร้อยละ 129.49 และร้อยละ 68.31 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.47, ร้อยละ 54.49 และร้อยละ 60.28 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ซึ่งปรับตัวลดลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 62 ลดลงร้อยละ 5.69 และร้อยละ 19.10 รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนที่หดตัวลงร้อยละ 44.79 ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.31 และร้อยละ 49.13 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไป เยอรมนี ที่หดตัวลง เป็นผลมาจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนร้อยละ 73 ลดลงร้อยละ 16.24 รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเศษหรือของที่ ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับทอง ได้ลดลงร้อยละ 19.54 และร้อยละ 34.09 ตามลำดับ ส่วนสินค้ารองลงมาอย่าง แพลทินัมและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.55 และ ร้อยละ 13.15 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง อินเดีย มีมูลค่าลดลง จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 36 ได้ลดลงร้อยละ 82.76 รวมถึงสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างอัญมณีสังเคราะห์ ลดลงร้อยละ 6.47 ส่วนการส่งออกเครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ยังขยายตัวได้ร้อยละ 15.22, ร้อยละ 1.69 และร้อยละ 74.50 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร ซึ่งลดน้อยลงนั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเครื่องประดับเทียม ลดลงร้อยละ 40.05, ร้อยละ 17.77 และร้อยละ 5.21 ตามลำดับ แต่สินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งเพชรเจียระไนและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเติบโตได้ร้อยละ 12.21, ร้อยละ 101.10 และร้อยละ 51.48 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ ที่ปรับตัวลงนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน ที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 25.53 ขณะที่สินค้าสำคัญอื่น ๆ อย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับทอง ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.18, ร้อยละ 161.96 และร้อยละ 46.30 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายนปีนี้ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.52 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.01 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.42 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 โดยสินค้าที่ยังเติบโตได้ดีของไทย คือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังนี้ ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวจากการที่ภาวะเงินเฟ้อยังลดลงน้อยกว่าที่คาดและภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกขาดแรงหนุนที่สำคัญ แต่ผลกระทบเกิดขึ้นกับตลาดสำคัญแตกต่างกัน โดยเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก G7 อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี มีแนวโน้มชะลอตัวมากกว่าประเทศอื่น ๆ เนื่องจากปัญหาสำคัญอย่างสภาพคล่องสถาบันการเงิน แรงกดดันของเงินเฟ้อ และการต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น ยังเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบการผลิต การลงทุน และการบริโภค ซึ่งรายงานของบริษัทจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ยังระบุว่า การเติบโตของ GDP กลุ่มประเทศ G7 จะชะลอตัวสู่ระดับร้อยละ 2.1 ในปี นี้ และร้อยละ 2.2 ในปี 2567 จากที่เคยเติบโตร้อยละ 2.7 ในปี 2565 ขณะที่การฟื้นตัวของจีนและญี่ปุ่นยังเป็นไปในทิศทางค่อยเป็นค่อยไปยังสร้างแรงส่งไปยังเศรษฐกิจนานาประเทศได้ ไม่มากนัก ส่วนปัจจัยบวกอื่น ๆ นั้น มีแรงหนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักมากขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมการบริโภคในตลาดสำคัญทั่วโลกยังมีแรงฉุดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงทำให้เกิดความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับเติบโตได้ดีในระยะยาว ดังนั้น ผู้ประกอบการควรเน้นให้ความสำคัญต่อการรักษาลูกค้าเดิมที่มีอยู่ให้เข้มแข็ง สร้างสัมพันธภาพที่ดีให้มีความต่อเนื่องและการนำเสนอสินค้าใหม่สู่ตลาดให้สม่ำเสมอเพื่อรักษาฐานเดิมและเพิ่มเติมตลาดใหม่ สร้างแนวทางการวางแผนกลยุทธ์การขายให้สอดคล้องกับเทรนด์ตลาด ฤดูกาล และพฤติกรรม ผู้บริโภค ด้วยการอัพเดทข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ รวมทั้ง การลงทุนในการฝึกอบรมทั้งการเพิ่มเติมทักษะ Upskill และเปลี่ยนทักษะ Reskill ของบุคลากร โดยเฉพาะความรู้ในด้านที่เกี่ยวกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร จะเป็นการติดอาวุธให้ภาคธุรกิจยืนหยัดและต่อยอดไปข้างหน้าได้
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สิงหาคม 2566
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”