
จากกระแส “ลิซ่า แบล็กพิงก์” ศิลปินระดับโลก สวมใส่ผ้าถุงลายกงนาค สู่ซอฟต์เพาเวอร์ ตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ ออร์เดอร์ทะลัก 300 เมตร ราคา 2,000-2,500 บาทต่อเมตร
วันที่ 19 มิถุนายน 2566 นางสมร คำวิเศษ ครูช่างศิลปหัตถกรรม จากชุมชนคุณธรรมบ้านพรพิบูลย์ อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกระแสที่นางสาวลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า BLACKPINK” ใส่ผ้าถุงมัดหมี่ย้อมครามฯ หรือลายกงนาค
ส่งผลให้ออร์เดอร์เข้ากว่าจำนวน 200-300 เมตร ทั้งจากกรุงเทพฯ อุดรธานี ทั่วประเทศ รวมถึงจากต่างประเทศ ซึ่งใช้วิธีการทอค่อนข้างยาก และใช้เวลาทอประมาณ 3 วัน ปัจจุบันในกลุ่มมีสมาชิก 98 คน จะทอได้ถึงวันละ 2 เมตร ราคา 2,000-2,500 บาทต่อเมตร
ด้านนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า จังหวัดอุดรธานีมีกลุ่มทอผ้าจำนวน 507 กลุ่ม สมาชิก 2,500 คน มีรายได้จากการจำหน่ายผ้าในปีที่ผ่านมา 3,000 กว่าล้านบาท และจังหวัดได้ขับเคลื่อนโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน
โดยส่งเสริม เพิ่มทักษะ ให้กลุ่มอาชีพทอผ้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการอบรมให้ความรู้ในด้านการย้อมสีธรรมชาติ เพื่อให้ได้ผ้าที่มีความสวยงาม และลดการใช้สารเคมี รวมทั้งสอดคล้องกับกรอบแนวคิดสิ่งทอรักษ์โลก BCG Model
และในปี 2566 จังหวัดอุดรธานีได้บูรณาการหน่วยงานภาคี การพัฒนาทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา กลุ่มผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าเครื่องแต่งกาย ดำเนินโครงการยกระดับผ้าทอมือจังหวัดอุดรธานี “ธานีผ้าหมี่-ขิด สู่สากล” เพื่อพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ “ผ้าหมี่ขิด”
ซึ่งเป็นผ้าอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัดอุดรธานี ให้มีศักยภาพ มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งกระแสการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาทั้งระบบ ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
โดยกระบวนการต้นน้ำ ได้สร้างแหล่งผลิต ได้แก่ การผลิตวัตถุดิบการทอผ้าที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย ปลูกคราม ผลิตเส้นไหม เส้นฝ้ายที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน, กระบวนการกลางน้ำ สร้างอัตลักษณ์ สร้างมูลค่า ได้แก่ การแปรรูป เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการด้านการออกแบบ และตัดเย็บผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ มีมาตรฐาน การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างอัตลักษณ์ เรื่องราวผลิตภัณฑ์ การย้อมสีธรรมชาติ
การเพิ่มทักษะช่างออกแบบลายผ้า ช่างย้อม ช่างมัดหมี่-เก็บขิด ช่างทอ นักเล่าเรื่อง และกระบวนการปลายน้ำ สร้างพื้นที่เรียนรู้ สร้างการรับรู้สู่สากล ได้แก่ การจัดทำฐานข้อมูลการทอผ้าทั้งระบบ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ทอผ้าหมี่-ขิด การถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่เยาวชน Young OTOP การสร้างกระแส “ผ้าไทยใส่ให้สนุก คนอุดร รักอุดร รักษ์ผ้าหมี่-ขิด” การส่งเสริมช่องทางการตลาด การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงชุมชนแหล่งผลิตกับภายนอกชุมชน
ซึ่งจังหวัดอุดรธานี ได้ส่งเสริมการพัฒนากระบวนการต้นน้ำและกลางน้ำ โดยใช้เงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประเภทเงินอุดหนุน จำนวน 798,040 บาท กลุ่มเป้าหมาย 769 คน ได้แก่ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ อ.บ้านดุง งบประมาณ 177,900 บาท จำนวน 50 คน
การฝึกอบรมสตรีกลุ่มทอผ้าเเพื่อรักษาและอนุรักษ์วัฒนธรรม การย้อมสีธรรมชาติและปลูกหม่อนเลี้ยงไหม อ.กุดจับ จำนวน 186,940 บาท เป้าหมาย 11 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน รวม 44 คน และการออกแบบตัดเย็บผ้าพื้นเมือง อ.หนองวัวซอ งบประมาณ 433,200 บาท จำนวน 675 คน
และมีแผนการดำเนินการ อาทิ การพัฒนากลุ่มทอผ้าให้ส่งผ้าลายพระราชทาน “ลายดอกรักราชกัญญา” เข้าประกวด เป้าหมาย 216 ผืน, การเปิดงาน “ผ้าไทยใส่ให้สนุก กลุ่มจังหวัดสบายดี” โดยภาคเอกชน คือ ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติ มลฑาทิพย์ ฮอลล์ ร่วมกับ จ.อุดรธานี ในวันที่ 28 มิถุนายน 2566
รวมทั้งจัดตั้งศูนย์จำหน้ายผ้าทอมือและของฝากที่ระลึกระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มจังหวัดสบายดี ในรูปแบบชมช็อปแชร์ คือ นิทรรศการและจำหน่ายผ้าทอมือของกลุ่มจังหวัดสบายดีในรูปแบบโฮมแอนด์การ์เด้น โดยสถาปนิกเป็นผู้ออกแบบ จำนวน 6 กลุ่ม และการเดินแฟชั่นโชว์โดยเซเลบริตี้ที่มีชื่อเสียง
ที่มา : https://www.prachachat.net/local-economy/news-1326430