
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนก.พ.2566 เท่ากับ 108.05 เทียบกับม.ค.2566 ลดลง 0.12% เทียบกับเดือนก.พ.2565 เพิ่มขึ้น 3.79% ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อาหารบางประเภท โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปและอาหารสด ประกอบกับฐานราคาที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อปี 2565 อยู่ในระดับสูง มีส่วนทำให้เงินเฟ้อไม่ขยายตัวมากนัก และเงินเฟ้อเฉลี่ย 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) เพิ่มขึ้น 4.40%
ทั้งนี้เงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆน่าจะเห็นชัดในช่วงกลางปีถึงปลายปี โดยเงินเฟ้อตั้งแต่เดือนต.ค.2566 อาจใกล้กับ 0% หรืออาจจะติดลบก็ได้ ถ้าช่วงนั้น น้ำมันยังลดลง แต่ถ้าน้ำมันขึ้น เงินเฟ้อก็ไม่ลด ส่วนเงินเฟ้อทั้งปี ขณะนี้ยังคงเป้า 2-3% แต่จะมีการพิจารณาปรับเป้าและสมมติฐานใหม่ หลังได้ตัวเลขไตรมาสแรกแล้ว โดยแนวโน้มน่าจะลดลง หรือกรอบแคบขึ้น หรือปรับค่ากลางลดลง
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)ได้รวบรวบภาวะเงินเฟ้อรายประเทศจำนวน134ประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อต่ำอยู่อันดับที่20จาก134ประเทศ โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุด 10 ประเทศ ประกอบด้วย เลบานอน อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่190% อาร์เจติน่า อยู่ที่102% ชิมบับเว อยู่ที่92% ซูดาน อยู่ที่63.3% ซูซินาเม อยู่ที่58% ตุรกี อยู่ที่55.18% อิหร่าน อยู่ที่53.4% กานา อยู่ที่52.8% ศรีลังกาอยู่ที่50.6% และลาวอยู่ที่41.26%
ส่วน10อันแรกที่เงินเฟ้อต่ำสุด ประกอบด้วย มาเก๊า เงินเฟ้ออยู่ที่0.77% จีน อยู่ที่1% ไนเจอร์อยู่ที่1.1% เซเซลส์ อยู่ที่1.13% เบนิน1.2% ฟิจิอยู่ที่1.5% ฮ่องกงอยู่ที่1.7% โอมาน อยู่ที่1.9% ปานามาอยู่ที่2.04% และไต้หวันอยู่ที่ 2.43% ส่วนไทยอยู่ลำดับที่20 โดยมีเงินเฟ้อเดือนก.พ.อยู่ที่3.79%
แต่หากเทียบเฉพาะประเทศในอาเซียนด้วยกันเอง พบว่าเงินเฟ้อของไทยอยู่เป็นอันดับ2 รองจากมาเลเซียที่มีอันตาเงินเฟ้ออยู่ที่3.7% อันดับสามอยู่ที่เวียดนาม มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่4.3% อันดับ4 คืออินโดนีเซีย เงินเฟ้ออยู่ที่5.47% อันดับ5 คือ สิงคโปร์ เงินเฟ้ออยู่ที่ 6.3%
ในขณะที่ "สหรัฐฯ" มีอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงถึง6% โดยมีสาเหตุมาจากราคาอาหารและสาธารณูปโภค แต่การขยายตัวถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุด นับตั้งแต่ ก.ย. 64 และการปรับขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ เช่น หมวดอาหาร (ธัญพืชและเบเกอรี ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ไก่) หมวดที่ไม่ใช่อาหาร (การขนส่ง สาธารณะ ที่อยู่อาศัย รถยนต์) หมวดพลังงาน (ก๊าซธรรมชาติ ค่าไฟฟ้า ประกอบกับมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปสู่ระดับ 4.75- 5.0% และคาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกไม่กี่ครั้ง เนื่องจากสถาบัน ทางการเงินเริ่มได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภคผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย เช่น ช่วยสนับสนุนค่าสาธารณูปโภค ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า และสนับสนุนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน
"สหราชอาณาจักร" มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงเช่นกันคือ10.4% สาเหตุสำคัญมาจาก ราคาพลังงาน และอาหารและเครื่องดื่ม ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน การปรับขึ้นของราคาสินค้าเช่น หมวดพลังงาน อาหารและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เป็นต้นรวมไปถึงธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ไปสู่ระดับ 4.25% เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 11 ติดต่อกันและอังกฤษจะปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 10% มีผลตั้งแต่เดือนเม.ย. 66
หรือแม้แต่"อินเดีย"ที่มีจำนวนประชากรมากมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงเช่นกันคือ6.44% สาเหตุมาจาก ราคาพลังงาน เครื่องนุ่งห่ม และอาหารที่สูงขึ้นกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน โดยสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 6% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น การปรับขึ้นของราคาสินค้าทุกหมวดและมาตรการทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเช่นธนาคารกลางประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (reporate) ต่อเนื่องอีก 0.25% ไปสู่ระดับ 6.50% ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่ายังคงมี การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงธนาคารกลางมีแนวโน้มเข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อไม่ให้เงินรูปีอ่อนค่ามากนักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามแนวโน้มเงินเฟ้อของไทยเดือนมี.ค.2566 คาดว่าจะชะลอตัวลง ตามราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดหลายรายการที่คาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับฐานราคาในเดือนมี.ค.2565 ค่อนข้างสูง การส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มลดลงตามอุปสงค์โลก และการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด จะกดดันต่อการขยายตัวของเงินเฟ้อ แต่ค่าไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา ราคาก๊าซหุงต้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในเดือนมี.ค.2566 การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการยังคงขยายตัวได้ดี จะส่งผลให้เงินเฟ้อชะลอตัวไม่มากนัก
ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/561076