หน้าแรก / THTI Insight / ความเคลื่อนไหวอุตสาหกรรม / ‘อินเดีย’...เป็นไปได้หรือไม่กับการเข้าสู่โรงงานโลก

‘อินเดีย’...เป็นไปได้หรือไม่กับการเข้าสู่โรงงานโลก

กลับหน้าหลัก
16.04.2566 | จำนวนผู้เข้าชม 733

‘อินเดีย’...เป็นไปได้หรือไม่กับการเข้าสู่โรงงานโลก 

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2570 เศรษฐกิจของอินเดียจะขยับตัวขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก (รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน) ด้วยขนาด GDP ของอินเดียที่มีความน่าสนใจ คือ แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลง แต่เศรษฐกิจของอินดียยังคงเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย (ระหว่างปี พ.ศ. 2566 - 2567) มากกว่าร้อยละ 6 ขณะที่ GDP โลก เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 3(IMF)  

สำหรับการลงทุนภายในประเทศอินเดียของนักลงทุนต่างชาติ พบว่า มีนักลงทุนหลายรายที่เลือกย้ายฐานการผลิตมายังอินเดีย เพื่อต้องการกระจายห่วงโซ่การผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ ลดความเสี่ยงจากปัญหาก่อนหน้านี้ ทั้งจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และกลยุทธ์ China Plus One ขยายการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพากับจีนเพียงประเทศเดียว จึงทำให้บริษัทระดับโลกหลายรายมีการย้ายฐานการผลิตมาที่อินเดียเพิ่มมากขึ้น อาทิ APPLE, Samsung, LG, HP และ Dell ขณะเดียวกัน อินเดียมีการเร่งเดินหน้านโยบายที่เพิ่งพาตัวเองมากขึ้น และ ‘Make in India’ ซึ่งที่ผ่านมาอินเดียเองมีการใช้มาตรการต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมให้มีการตั้งฐานการผลิตในอินเดีย เช่น โครงการ PLI หรือ Production Linked Insentive เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบการลงทุนจากต่างชาติ เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติมาร่วมลงทุนกับ Startup ในประเทศ เพื่อจะขับเคลื่อนธุรกิจในอินเดีย รวมไปจนถึงมีการพัฒนาตัวโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค และ Digital ต่าง ๆ รวมถึงการลงทุนในอินเดียเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น Net Zero ในปี 2070 และมีการจัดสรรเงินประมาณ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปลงทุนด้านพลังงานสะอาด (เพราะถือเป็นแนวโน้มสำคัญของโลกในปัจจุบัน)

Production Linked Incentive หรือ PLI แผนของรัฐบาลอินเดียเป็นรูปแบบหนึ่งของแรงจูงใจที่เชื่อมโยงกับประสิทธิภาพ เพื่อให้บริษัทมีแรงจูงใจในการขายที่เพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในหน่วยในประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาคการผลิตและลดการนำเข้า วัตถุประสงค์ของแผนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับ Make in India”

จุดแข็งในด้านจำนวนประชากรในประเทศ พบว่า ในปี พ.ศ. 2566 จำนวนประชากรของอินเดีย น่าจะมีการขยับมามากที่สุดในโลก หรือที่ 1,429 ล้านคน (หรือคิดเป็นร้อยละ 17.8 ของจำนวนประชากรทั่วโลก) แซงหน้าจำนวนประชากรของจีน หรือที่ 1,426 ล้านคน โดยเป็นผลสืบเนื่องจากในปี พ.ศ. 2565 จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และอัตราการเกิดของจีนก็ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน 

คาดการณ์ในระยะ 10 ปี (ถึงปี พ.ศ. 2576) อินเดียจะมีประชากรเพิ่มมากขึ้น เป็น 1,548 ล้านคน อัตราการเพิ่มเฉลี่ยต่อปี คือ ร้อยละ 0.8 ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มประชากรของจีนจะลดลงอยู่ที่ 1,407 ล้านคน หรือลดลงร้อยละ 0.13

และที่สำคัญประชากรของอินเดียส่วนใหญ่แล้วเป็นคนวัยหนุ่มสาวหรือวัยทำงาน (อยู่ในวัยแรงงาน) ปี พ.ศ. 2566 อินเดียจะมีสัดส่วนประชากรที่อายุต่ำกว่า 30 ปี สูงถึงร้อยละ 51 และคิดเป็นร้อยละ 26 ที่อายุระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าภาพรวมของทั้งโลก (ภาพรวมทั่วโลกของประชากรที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีอยู่ประมาณร้อยละ 48) ขณะที่จีนและไทย มีประชากรที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ที่ร้อยละ 34 นอกจากนี้ อินเดียไม่เจอปัญหาเกี่วกับประชากรสูงวัย หรือสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งอินเดียมีประชากรสูงวัย (65 ปีขึ้นไป) คิดเป็นร้อยละ 7 โดยเฉลี่ย ขณะที่จีนและไทย มีประชากรผู้สูงอายุ คิดเป็นร้อยละ 14 และร้อยละ 16 และในอีก 10 ปีข้างหน้า อินเดียจะมีประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ประมาณร้อยละ 9.6 ขณะที่จีนและไทยจะเร่งขึ้นไปที่ร้อยละ 20.7 และร้อยละ 23.4

ดังนั้น โครงสร้างประชากรอินเดีย ถือว่ามีอายุน้อยและมีศักยภาพด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งจำนวนประชากรที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น (เป็นอันดับ 1 ของโลก) และประชากรยังเป็นวัยแรงงานเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งจะเอื้อต่อการบริโภคทำให้มีการขยายตัว นอกจากนั้น ประชากรชนชั้นกลางของอินเดียเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน 

โดยความเคลื่อนไหวของอินเดียที่มีต่อการผลิตภายในประเทศ พบว่า กระทรวงการคลังของอินเดียจะทบทวนอัตราภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าที่อินเดียจำเป็นต้องนำเข้ามาต่อยอดการผลิตและสร้างงานประเทศ ซึ่งภายในปีนี้คาดว่า จะมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) เพื่อลดต้นทุนและราคาของสินค้าสำเร็จรูป เอื้อให้เกิดการผลิตและสร้างงานในประเทศ โดยได้นำข้อเสนอแนะจากตัวแทนผู้ส่งออกมาพิจารณาอัตราภาษีใหม่ พร้อมทั้งหามาตรการต่าง ๆ มาสนับสนุน ซึ่งอินเดียมีการตั้งองค์กรภาครัฐร่วมเอกชนขึ้นมาดูแลการส่งออกของสินค้าเป็นการเฉพาะในแต่ละสาขา ทั้งนี้ องค์กรเพื่อการส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มเสนอให้กระทรวงการคลังของอินเดียดำเนินการปรับลดภาษีนำเข้าใยสังเคราะห์ ด้ายเย็บผ้า เทปตีนตุ๊กแก ดอกไม้ผ้า และผ้าซับใน

สรุป ‘อินเดีย’ ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2571 (ปี 2028) โดยการยกระดับการผลิตเพื่อสร้างงานภายในประเทศ (Make in India) แต่ยังคงมีการนำเข้าวัตถุดิบ/ส่วนประกอบที่จำเป็น (Critical Inputs) ในอัตราภาษีที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่ดีต่อการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางจากประเทศไทยที่สามารถนำไปต่อยอดในอินเดียได้ อาทิ วัสดุชีวภาพจากยางพาราและมันสำปะหลัง ไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์จากกระดาษ ส่วนประกอบเสื้อผ้า และชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล ในขณะเดียวกันอินเดียกำลังเร่งกระตุ้นการลงทุนที่ลดการพึ่งพาการนำเข้า

-------------------------------------------------

ที่มา : Business Watch, IMF, UN, World Bank, KrungthaiCOMPASS, www.investindia.gov.in, www.economictimes.indiatimes.com, www.timesofindia.indiatimes.com, www.theindubusinessline.com และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

เรียบเรียง : ศูนย์ข้อมูลฯ (แผนกข้อมูลอุตสาหกรรม) สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

ความเคลื่อนไหวสิ่งทอ, อินเดีย, สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม, เศรษฐกิจ, การผลิต, แรงงาน, Make in India