หน้าแรก / THTI Insight / ข่าวรายวัน / 3 แนวคิดสร้างสรรค์ Soft power ใหม่ในแดนอีสาน จาก 3 กิจการพลิกวิธีคิดจากแนวเดิม

3 แนวคิดสร้างสรรค์ Soft power ใหม่ในแดนอีสาน จาก 3 กิจการพลิกวิธีคิดจากแนวเดิม

กลับหน้าหลัก
26.12.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 2205

เมื่อความ ‘สร้างสรรค์’ ไม่ได้ถูกขีดเส้นขวางความเจริญงอกงามของอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่สามารถนำมาผสมผสานเพื่อให้เกิดความรับรู้ใหม่ ต่อยอดไปสู่พลังอีสานสร้างมูลค่าในที่สุด

ใน Session : เว่าสั้น 1 ยืนเดี่ยว เล่าลึกอย่างถึงแก่น อีสานสร้างสรรค์ (Creative Economy) : Soft power ใหม่ในดินแดนอีสาน ของงาน ISAN BCG EXPO 2022 งานมหกรรมนวัตกรรมยั่งยืน เพื่อพัฒนา ‘อีสาน’ ให้เป็นศูนย์กลาง เศรษฐกิจ บนฐานคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) ในระดับประเทศและภูมิภาค สะท้อน 3 แนวคิดการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่นำไปสู่ความสร้างสรรค์ และมูลค่าที่จับต้องได้

เฮือนคำนาง : ศิลปะและการเสิร์ฟวัฒนธรรมอีสานอย่างสร้างสรรค์

คำพูดที่ว่า ถ้าอยากรู้จักผู้คนให้ไปเดินตลาด ถ้าอยากรู้จักรากเหง้าให้เปิดตู้กับข้าว คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก เพราะวิถีวัฒนธรรมของผู้คนมักถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องปากท้องอยู่เสมอ 

เหมือนจุดเริ่มต้นของ ‘เฮือนคำนาง’ ของ ‘ณัฎฐภรณ์ คมจิต’ อดีตผู้สื่อข่าวการเมืองเมื่อ 15 ปีก่อน ที่อยากให้ผู้คนได้รู้จักอีสาน และอาหารอีสานมากขึ้น

ไม่ว่าจะชนิดของอาหารที่วนเวียนอยู่แค่ ส้มตำ ลาบ ก้อย หรือการดูแคลนว่า อาหารอีสานสกปรก ทั้งที่จริงๆ แล้ว ต้นทุนทางวัฒนธรรมอาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นหลากหลาย และลุ่มลึกกว่านั้น   

เธอนิยามถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อย่างพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดต้องยกให้ทุ่งกุลาร้องไห้

แน่นอนว่า สำรับอาหาร หรือพาข้าว น่าจะเป็น สื่อที่นำพาสารที่จะส่งไปถึงผู้คนได้อย่างดีที่สุด เพราะในพาข้าว 1 พานั้น ได้รวบรวมเอาทุกอย่างของความเป็นอีสานเอาไว้อย่างละเมียดละไม ตั้งแต่ วัตนธรรม วิถีชีวิตที่บอกเล่าผ่านลวดลายบนภาชนะ ภูมิปัญญา ความเป็นอยู่ที่สอดแทรกอยู่ในวัตถุดิบ ความเชื่อ-วิถีชีวิตที่สลักเสลาบนเครื่องปรุงหรือวิธีรับประทาน 

ทุกอย่างล้วนสะท้อนความเป็นอีสานได้อย่างหมดจด 

ไม่ว่าจะเป็น... 

คนที่รู้อยู่แล้ว หรือ คนในพื้นที่

คนที่อาจจะรู้ หรือ คนนอกพื้นที่ 

รังสรรค์เมนูที่ได้รับความร่วมือจากชุมชนในการเฟ้นหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ละวันมาขึ้นสำรับ

เธอยืนยันว่า เพียงแค่รับรู้ถึงคุณค่าที่มีในตัวตน และรากเหง้าของเราก่อน มูลค่า และความยั่งยืนก็จะตามมา

Columbo Craft Village : เปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้งให้กลายเป็นหมู่บ้านงานคราฟต์ 

จากความชอบร่วมกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนของความร่วมสมัย และนำไปสู่การสร้างชุมชนในฝันที่อยากเห็นขึ้นมา นี่น่าจะเป็นคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด สำหรับ ‘ชาญณรงค์ เหลวกูล’  ผู้สร้างสรรค์พื้นที่แห้งแล้ง Columbo Craft Village ให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับงานคราฟต์ของเขา และเพื่อนพ้อง

ด้วยการเป็นคนค้าขาย ทำให้เขากับเพื่อนๆ ที่รู้จักได้มีโอกาสไปสัมผัสกับพื้นที่เชิงศิลปะ และความสร้างสรรค์ตามสถานที่ต่างๆ กลายมาเป็นต้นทุนทางความคิดริเริ่มที่ว่า อยากรังสรรค์พื้นที่แบบนี้ใน จ. ขอนแก่นบ้าง 

เขาและเพื่อนรุ่นก่อตั้ง 8 ชีวิต ได้พูดคุย แลกเปลี่ยน และหาแนวทางความเป็นไปได้ในการสร้างพื้นที่ศิลปะในฝันขึ้น 

โดยมีโจทย์ตั้งต้น 4ข้อใหญ่ 

ทุน หาจากที่ไหน นอกจากการระดมทุนร่วมกันคนละเล็กละน้อยเพื่อเป็นสารตั้งต้น 

ทำเล ที่ตั้งตรงไหนถึงจะเหมาะ ทั้งในแง่การการเป็นศูนย์กลาง และความสะดวกอื่นๆ 

ลูกค้า จะเป็นใครบ้าง กลุ่มเด็กๆ นักเรียนนักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงาน

และคำถามสำคัญ ที่ว่า พื้นที่แห่งนี้จะให้อะไรตอบแทนกับชุมชนได้บ้าง นี่จึงกลายเป็นที่มาของ Columbo Craft Village ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น  

กิจกรรมตามความตั้งใจ นอกจากจะเป็นแหล่งรวมของคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กันแล้ว ที่นี่ยังจะเป็นพื้นที่ของโอกาส สำหรับคนที่อยากทำงานศิลปะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เป็นสตูดิโอรับรองศิลปินที่จะนำไปสู่ความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมา พวกเขาเคยได้รับศิลปินต่างชาติมาร่วมงาน และแสดงงาน รวมทั้งคณะนักศึกษาจากอเมริกาที่มาฝังตัวทำงานเกี่ยวกับศิลปะกว่า 50 ชีวิตมาแล้ว 

นอกจากกิจกรรมเชิงศิลปะกับกลุ่มศิลปิน ที่นี่ยังเปิดพื้นที่สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อให้เป็นแหล่งรวมของคนที่มีความสนใจ และความชอบได้เข้ามาแลกเปลี่ยนกันในช่วงเทศกาลต่างๆ อีกด้วย 

ชาญณรงค์ ยอมรับว่า การก้าวเดินของพื้นที่เชิงสร้างสรรค์ในเมืองที่ถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของภาคอีสานนั้นเพิ่งเริ่มต้น แต่พวกเขาก็หมายมั่นปั้นมือว่า ที่นี่จะเติบโตจนกลายเป็นอาร์ตสเปซที่อยู่ในหมุดหมายของคนรักศิลปะทั่วโลกจะมีโอกาสได้มาเยือนสักครั้ง 

แน่นอนว่า มันไม่ต่างจากผลพลอยได้ของความฝัน และความตั้งใจ ที่ตอบแทนกลับมาด้วยรูปธรรมที่เรียกว่าความสำเร็จ นั่นเอง 

มหาสารคราฟต์  : การตีความผ้าทอให้ทันสมัย และออกไปไกลกว่าเดิม 

เวลาพูดถึงผ้าไหมในภาคอีสาน จ.มหาสารคาม มักไม่ค่อยถูกสร้างความรับรู้ในงานฝีมือแขนงนี้มากสักเท่าไหร่ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และการเดินทางครั้งใหม่ของไหมมหาสารคาม ผ่านทีมวิจัย นำโดย ‘รศ.ดร.น้ำฝน ไล่สัตรูไกล’ และสมาชิกสมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย ร่วมกับสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) 

โดยมีเป้าหมายเพื่อ พัฒนารูปแบบและสร้างอัตลักษณ์ให้ผ้าไหมมหาสารคามให้โดดเด่นขึ้นมา ซึ่งงานนี้ มี ‘ชลิต นาคพะวัน’ ศิลปินมากฝีมืออีกคนของวงการมาช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก และนำไปสู่การร้างแบรนด์ มหาสารคราฟต์ ขึ้นมา

มหาสาร คราฟท์ มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าจากทุนวัฒนธรรมในกลุ่มช่างทอ เพื่อให้เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสร้างเอกลักษณ์ให้กับผ้าทอ จนกลายมาเป็นชุดสีต้นแบบแพนโทนของ จ.มหาสารคาม ในที่สุด 

คนทำงานศิลปะอย่างชลิตยอมรับว่า จุดที่ท้าทายที่สุดของมหาสารคราฟต์ ไม่ใช่เรื่องของการดีไซน์ หรือการหาวัตถุดิบ แต่เป็นเรื่องของ การทำความเข้าใจ และวิธีคิด ของกลุ่มช่างทอ

แต่หลังจากตั้งหลักได้ ก็เริ่มเรียนรู้ และพัฒนาองค์ความรู้เพื่อให้สามารถนำไปสู่การใช้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็น การย้อมเส้นไหมด้วยผงสีแก่นฝาง ที่มีจุดเด่นในการ ควบคุมความเข้ม-อ่อนของโทนสีได้หลายเฉดตามความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้การย้อมสีผ้าเหมือนกันทุกครั้ง วิธีการต่อ ปะ ติด ผ้า เพิ่มมูลค่าให้เศษผ้า

รวมทั้งการออกแบบแพทเทินเพื่อตัดเย็บเป็นชุดที่ร่วมสมัย แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นอีสานเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน 

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากมหาสารคราฟต์ นอกจากจะสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับผ้าไหมมหาสารคามแล้ว ยังถือเป็นก้าวสำคัญของการหลอรวมภูมิปัญญาเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ ที่ชลิตยืนยันว่า นี่จะเป็นต้นทุนสำคัญ ในการที่จะสามารถต่อยอด และนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

ที่มา : https://www.thepeople.co/read/culture/50876

สิ่งทอ, เศรษฐกิจ, ข่าวรายวัน