หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565

กลับหน้าหลัก
08.12.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 812

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565 เติบโตสูงขึ้น ร้อยละ 66.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2564 ที่มีมูลค่า 8,180.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่13,620.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.60 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วย การส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 6,778.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 37.38 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน พบว่า เดือนตุลาคม 2565 หดตัวลงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2565

 ตารางที่ 1  มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2564 และปี 2565

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในรอบ 10 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป โดยมีสัดส่วน ร้อยละ 50.23 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ไทยโดยรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 110.74 โดยราคาทองคำเฉลี่ย ของตลาดโลกในเดือนตุลาคมยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจาก เดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 1,664.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้เฟดใช้ นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ติดต่อกัน 4 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยมาอยู่ที่ ระดับร้อยละ 3.75-4.00 (ณ เดือนพฤศจิกายน) ซึ่งสูงสุดนับแต่ เดือนมกราคม 2551 แต่เริ่มมีแนวโน้มว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ช่วงกลางเดือนธันวาคมในอัตราที่ลดลง เป็นปัจจัยบวกต่อราคา ทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ มีข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่า อุปสงค์ทองคำในช่วงตุลาคม ยังได้รับอานิสงส์จากการบริโภคเครื่องประดับและการสำรอง ทองคำของธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็น ปัจจัยหลัก

เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ใน สัดส่วนร้อยละ 25.21 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและ เครื่องประดับไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.29 โดยสินค้า ส่งออกหลัก คือ เครื่องประดับทอง ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.03 จาก การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสิงคโปร์ตลาดหลักใน 5 อันดับแรก ได้สูงขึ้นร้อยละ 31.62, ร้อยละ 40.60, ร้อยละ 52.47, ร้อยละ 41.35 และร้อยละ 389.28 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับเงิน เติบโตได้ร้อยละ 5.72 จากการส่งออกไปยัง ตลาดสำคัญในอันดับที่ 2, 3 และ 5 อย่างเยอรมนีสหราชอาณาจักร และอินเดีย ได้สูงขึ้นร้อยละ 4.85, ร้อยละ 37.39 และร้อยละ 447.76 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังตลาด อันดับ 1 และ 5 อย่างสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ลดลง ร้อยละ 7.61 และร้อยละ 3.20 ตามลำดับ ส่วนการส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม สูงขึ้นร้อยละ 10.35 เนื่องจากการ ส่งออกไปยังสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง ตลาดใน อันดับที่ 1-4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.95, ร้อยละ 3.94, ร้อยละ 13.06 และร้อยละ 54.53 ตามลำดับ ส่วนสหราชอาณาจักร ซึ่ง เป็นตลาดอันดับที่ 5 หดตัวลงร้อยละ 33.35

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.16 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.45 โดย เพชรเจียระไน เป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.88 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดทั้ง 5 อันดับแรก อย่าง อินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้สูงขึ้นร้อยละ 102.69, ร้อยละ 5.79, ร้อยละ 31.85, ร้อยละ 96.17 และร้อยละ 17.18 ตามลำดับ

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 7.39 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของ ไทย เติบโตได้ร้อยละ 80.17 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.76 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์สิงคโปร์ และอิตาลีตลาดใน 5 อันดับแรก ได้ สูงขึ้นร้อยละ 92.73, ร้อยละ 0.77, ร้อยละ 206.48 , ร้อยละ 1,406.41 และร้อยละ 56.93 ตามลำดับ ส่วน พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 104.46 จากการส่งออกไปยัง สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565 -2- สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และอินเดีย ตลาดหลักทั้ง 5 อันดับแรก ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 152.94, ร้อยละ 59.42, ร้อยละ 1,264.89, ร้อยละ 88.30 และร้อยละ 287.30 ตามลำดับ

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.96 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.19 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา ลิกเตนสไตน์ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสิงคโปร์ ขยายตัวได้ร้อยละ 6.93, ร้อยละ 57.36, ร้อยละ 13.33, ร้อยละ 21.02 และร้อยละ 42.65 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงมกราคม-ตุลาคมของปี 2565 เติบโต เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตต่อเนื่องสวนทางกับภาพรวม ของสินค้าส่งออกในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวลงครั้งแรกใน รอบ 20 เดือน โดยมีปัจจัยสนับสนุนการส่งออกอย่างการอ่อนค่า ของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลก รวมทั้งเริ่มเข้าสู่ ช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปีเข้ามากระตุ้นการบริโภค เป็น ปัจจัยบวกสนับสนุน ทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและ เครื่องประดับไทยสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยตลาดส่งออกที่ สำคัญของไทยทั้ง 10 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา อินเดีย ฮ่องกง เยอรมนี สหราชอาณาจักร สิงคโปร์สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และญี่ปุ่น ล้วนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.90, ร้อยละ 115.74, ร้อยละ 10.12, ร้อยละ 10.26, ร้อยละ 41.87, ร้อยละ 178.10, ร้อยละ 87.15, ร้อยละ 36.18, ร้อยละ 39.24 และร้อยละ 10.90 ตามลำดับ

 ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2564 และปี 2565

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่ขยายตัวได้นั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องประดับทอง พลอย เนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เพชร-เจียระไน มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 31.62, ร้อยละ 92.73, ร้อยละ 152.94 และร้อยละ 96.17 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเงินปรับตัวลดลงร้อยละ 7.61

มูลค่าการส่งออกไปยัง อินเดีย สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (ที่มีสัดส่วนสูงถึงร้อย ละ 69) รวมทั้งสินค้าลำดับรองลงมาอย่างเครื่องประดับเงิน โลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 102.69, ร้อยละ 447.76, ร้อยละ 14.66, ร้อยละ 166.63 และร้อยละ 287.30 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไป ฮ่องกง ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับ ทอง พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับ เทียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 5.79, ร้อยละ 40.60, ร้อยละ 0.77, ร้อยละ 59.42 และร้อยละ 13.33 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง เยอรมนี ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการ ส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน (ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 74) รวมทั้งสินค้ารองลงมาอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมี ค่า เครื่องประดับทอง รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ล้วนเติบโตได้ดีร้อยละ 4.85, ร้อยละ 19.14, ร้อยละ 67.40, ร้อยละ 178.35 และร้อยละ 30.05 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไป สหราชอาณาจักร ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ อย่าง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อน เจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.39, ร้อยละ 52.47, ร้อยละ 91.31, ร้อยละ 280.88 และร้อยละ 7 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไป สิงคโปร์ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ อย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับแพลทินัม ได้ สูงขึ้นร้อยละ 389.28, ร้อยละ 1,406.41, ร้อยละ 1,264.89 และ ร้อยละ 8.95 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากการส่งออกไปจัดแสดงในงาน แสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในเดือนกันยายน อีกทั้งมีความเห็นจากนายกสมาคมเครื่องประดับสิงคโปร์ว่า ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในสิงคโปร์ที่เริ่มฟื้นตัวกลับคึกคักตั้งแต่ช่วงกลางปี โดยเฉพาะมีแรงซื้อจากชาวสิงคโปร์ที่หันมาลงทุนในเครื่องประดับ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีเอาชนะเงินเฟ้อได้

ส่วนการส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อน เจียระไน โลหะเงิน และเครื่องประดับทอง ได้สูงขึ้นร้อยละ 206.48, ร้อยละ 88.30, ร้อยละ 9.15 และร้อยละ 148.62 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง เบลเยียม ซึ่งเติบโตได้นั้น มาจากการ ส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 83) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.85 ซึ่งเติบโตมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งสินค้า ลำดับถัดมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.97 ทั้งนี้ การนำ Carat Tax มาใช้ เป็นส่วนส่งเสริมการค้าเพชรเจียระไน ของเบลเยียมให้กลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

สำหรับการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ขยายตัวได้นั้น มาจากการส่งออกเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน สามารถเติบโตได้ดีร้อยละ 41.35, ร้อยละ 17.18, ร้อยละ 24.05 และร้อยละ 396.11 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออก สินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 17.10, ร้อยละ 3.94, ร้อยละ 14.93 และร้อยละ 14.19 ตามลำดับ

แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคมปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.50 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.38 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.25 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3

 ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2564 และปี 2565

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ยังมีคำสั่งซื้อนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลก รวมทั้งการเข้าสู่ช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปีทำให้เกิดแรงกระตุ้นการบริโภคเข้ามาต่อเนื่อง สำหรับสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับเทียม รวมทั้งเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน 

ในภาพรวมนั้น เศรษฐกิจโลกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 เริ่มได้รับผลกระทบจากปัจจัยรุมเร้าหลายประการ อย่างการขึ้นดอกเบี้ยและการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อ การใช้มาตรการ Zero Covid ของจีนในการควบคุมการแพร่ระบาด ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน และการขาดแคลนพลังงานในยุโรปที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจของประเทศสำคัญต่างชะลอตัวลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่า การขยายตัวของ GDP ทั่วโลกในปี 2566 การเติบโตจะชะลอตัวลงสู่ระดับร้อยละ 2.2 จากระดับร้อยละ 3.1 ในปี 2565 โดยมองว่าแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในปีหน้าจะมาจากประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก ซึ่งจะคิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของการเติบโตของโลกในปีหน้า ขณะที่สหรัฐฯ และภูมิภาคยุโรปจะมีอัตราการขยายตัวต่ำ

ทั้งนี้แม้ว่าสถานการณ์ส่งออกในรอบ 10 เดือนแรกของปีนี้ สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเป็นหมวดหนึ่งที่ยังสามารถเติบโตสวนกระแสได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการก็ควรมีแนวทางมองหาแนวทางการทำตลาดในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตได้สูง ควบคู่ไปกับการรักษาตลาดเดิมที่ควรเน้นสินค้าที่มีภาพลักษณ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับรักษา มาตรฐานคุณภาพให้ได้ตรงกับความต้องการผู้บริโภค หรือการทำสินค้าเกรดพรีเมียมเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มบนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจน้อยกว่าและการใช้เทคโนโลยี อย่าง AR หรือ VR นำเสนอสินค้าออนไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสสินค้าใกล้เคียงความจริงก่อให้เกิดความประทับใจและสร้างโอกาสในการซื้อได้เร็วขึ้น

ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ธันวาคม 2565



*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

 

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2565, สะสม 10 เดือน, ตุลาคม, GIT Information Center