หน้าแรก / THTI Insight / ความเคลื่อนไหวอุตสาหกรรม / ความยั่งยืนในยุคของความไม่แน่นอน

ความยั่งยืนในยุคของความไม่แน่นอน

กลับหน้าหลัก
14.11.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 669

ความยั่งยืนในยุคของความไม่แน่นอน

การระบาดใหญ่ของ Covid-19 การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน สงคราม ความตึงเครียดเกี่ยวกับไต้หวัน และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ล้วนส่งผลทำให้เกิดความไม่แน่นอนและนั่นเป็นเพียงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนในช่วงเวลาต่อจากนี้

แน่นอนว่างานขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ไม่ได้ชะลอตัวลง ประเด็นห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความยั่งยืน แม้กระนั้น มีความเป็นไปได้ที่ความคิดริเริ่มเหล่านี้ อาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญลดน้อยลง เนื่องจากแบรนด์และผู้ค้าปลีกต้องดิ้นรนในตลาดที่คาดเดาไม่ได้มากขึ้น

10 คำถาม 14 คำตอบ

ความยั่งยืนยังคงเป็นสิ่งที่เข้าใจยากสำหรับหลายๆ คนในอุตสาหกรรม โดยกำไรต้องมาก่อน ท้ายที่สุดแล้ว บริษัททั้งหลายต่างก็อยู่ในธุรกิจที่ทำเงิน ไม่ใช่ธุรกิจที่ช่วยกู้โลก ไม่ว่าการตลาดของบริษัทจะอ้างอย่างไรก็ตาม

นอกจากนี้ บางบริษัทปฏิเสธที่จะใช้คำว่า “ความยั่งยืน” เพราะความยั่งยืนอาจนิยามได้ยาก และอาจหมายถึงสิ่งที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน

มีเรื่องตลกเก่าที่ว่า หากถามคน 10 คนเพื่อนิยามคำว่า “ความยั่งยืน” จะได้คำตอบ 14 ข้อ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมสีเขียวนับเป็นเรื่องที่ดี และผู้บริโภครู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่บางครั้งก็ประสบปัญหาในการอธิบายสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ อย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีคำจำกัดความ แต่ในมุมมองทัศนคติของผู้บริโภค และวิธีที่อุตสาหกรรมตอบสนองต่อผู้บริโภค จะมีอิทธิพลต่อธุรกิจเครื่องนุ่งห่มเสมอ แต่จะเพิกเฉยต่อความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร เมื่อความแห้งแล้งและน้ำท่วมทำลายต้นฝ้ายส่งผลกระทบต่อการจัดหาวัตถุดิบสำหรับโรงงานสิ่งทอจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งทำให้ต้องกลับมาไตร่ตรองคำถามเดิมที่ว่า ความยั่งยืนจะอยู่รอดได้อย่างไร ในยุคที่เศรษฐกิจไม่มีความแน่นอนเช่นนี้

เศรษฐกิจและความไม่แน่นอน

อันที่จริงอัตราเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนก่อให้เกิดความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจและความเจ็บปวด ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ธนาคารกลางยุโรปก็สะท้อนมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่าจำเป็นต้องมี 'การเสียสละที่ใหญ่กว่านี้’ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้มากกว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดก่อนหน้า และเตือนว่า ความเสี่ยงในการขึ้นของราคา จะไม่สามารถควบคุมได้ หากไม่มีการดำเนินการที่หนักแน่นเข้มงวด

ตลาดหุ้นนิวยอร์กตอบรับว่า การคิดอย่างมีความหวังมากเกินไปว่า อัตราเงินเฟ้อพุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้แน่นอน การสะท้อนกลับนั้นเป็นสิ่งที่น่ายินดีเพียงเพื่อจะพังทลายลงเมื่อเผชิญกับความเป็นจริง อัตราดอกเบี้ยกำลังสูงขึ้น แต่น่าเศร้าที่บางครั้งความหวังต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริง

ดังนั้น จึงกลับมาสู่ความยั่งยืนและภารกิจที่มีความหวังของคนจำนวนมาก ในการขยายแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรม แต่ความพยายามเหล่านี้จะไร้ผลหรือไม่ หากตลาดเสื้อผ้าทรุดลง

ต้นทุนความยั่งยืนในยุคเงินเฟ้อ

โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ที่ผลิตอย่างยั่งยืนส่วนใหญ่มีราคาสูงขึ้น แน่นอนว่าความยั่งยืนมาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่จากมุมมองของธุรกิจ ต้นทุนที่สูงขึ้นนั้นสามารถรับได้ ตราบใดที่ผู้บริโภคยังคงซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนต่อไป แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นก็ตาม

ในขณะที่เราอยู่ในยุคเงินเฟ้อทุกอย่างแพงขึ้น ดังนั้น จึงสามารถส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้  ซึ่งน่าจะดีต่อความยั่งยืน แต่ก็อาจไม่ใช่สำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก แล้วอย่างนั้นราคาที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ ราคาที่สูงขึ้นจะส่งผลให้อุปสงค์ลดลง จนในที่สุดสิ่งต่าง ๆ จะไปถึงจุดที่กำลังซื้อจะครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่คุณภาพและความหลากหลายไปจนถึงความยั่งยืนและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม

จะเห็นแล้วว่า ในการขายปลีกมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนระหว่างราคาที่สูงขึ้นกับความต้องการของผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคจัดลำดับความสำคัญของการซื้อของพวกเขา โดยเครื่องแต่งกายเป็นสิ่งที่ใช้ดุลยพินิจ ในขณะที่อาหารไม่ใช่ ด้วยเหตุนี้การซื้อจึงได้เปลี่ยนจากเสื้อผ้าไปเป็นของใช้ที่จำเป็นแทน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ผู้บริโภคยินดีจ่ายเพื่อความยั่งยืนหรือไม่ ผู้บริโภครุ่น Generation Z และ Millennial กล่าวว่า พวกเขายินดี แต่ถึงกระนั้นยอดค้าปลีกที่ลดลง แสดงให้เห็นว่าความกังวลทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในความยั่งยืน ความโปร่งใส และคุณภาพ

การตัดสินใจของผู้บริโภคและผลกระทบต่อการค้าปลีก

ผู้บริโภคจำนวนมากต้องดิ้นรนกับความเป็นจริงในการตัดสินใจระหว่างการซื้อที่จำเป็นกับการซื้อที่ต้องใช้ดุลยพินิจ  แต่น่าเสียดายที่เงินไม่สามารถซื้อได้มากเช่นในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคตระหนักกันดีอยู่แล้วทุกวันนี้

วิธีแก้ปัญหาประการหนึ่งสำหรับบางคนคือ การซื้อสินค้าราคาถูก ซึ่งช่วยหนุนยอดขายเสื้อผ้าในร้านค้าขนาดใหญ่และร้านขายสินค้าราคาถูกบางแห่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การซื้อในร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านขายสินค้าราคาถูก มักจะไม่เท่ากับการซื้อเสื้อผ้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน แต่ผู้ค้าปลีกกำลังประสบหลายปัญหา ตั้งแต่ความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง ไปจนถึงสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น

สำนักข่าว The Wall Street Journal รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า ผู้ค้าปลีกมีสินค้าคงคลังจำนวนมากและกำลังลดราคาสินค้าเพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับสินค้าในวันหยุด ด้วยเหตุนี้ หลายรายจึงปรับลดคาดการณ์กำไรประจำปีลงแล้ว และกำลังลดต้นทุน เนื่องจากผู้บริโภคกำลังลดการใช้จ่ายในหลายหมวดหมู่ เช่น เครื่องแต่งกายและของใช้ในบ้าน ก่อนฤดูกาลซื้อของที่สำคัญส่งท้ายปี

ความยั่งยืนจะยั่งยืนหรือไม่

มันเป็นตลาดที่ยากลำบาก จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ความยั่งยืนจะยั่งยืนหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้คนลดการซื้อเสื้อผ้าของพวกเขา ในกรณีนี้ ตลาดจะอ่อนตัว (ซึ่งเป็นอยู่แล้ว) และความทุกข์ยากของผู้ค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ผู้ค้าปลีกจำนวนมากจะทำแต่ในสิ่งที่ทำได้ กล่าวคือ ลดราคาเพื่อดึงดูดให้ซื้อของมากขึ้น แต่สิ่งนี้จะลดรายได้ของผู้ค้าปลีกและจะเพิ่มต้นทุนของคลังสินค้า ในทางกลับกัน ผู้ค้าปลีกอาจไม่สามารถขายออกสินค้าคงคลังนี้ได้หมด

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสินค้าคงคลังนั้น หากขายไม่หมด “ Deadstock” เป็นคำที่ปรากฎขึ้นมา ส่วนใหญ่จะจบลงในหลุมฝังกลบ เป็นการตัดจำหน่ายสำหรับแบรนด์และผู้ค้าปลีก ซึ่งจะตอกย้ำประวัติที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วของอุตสาหกรรมที่พยายามดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ต้องแสวงหาผลกำไร

เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักสิ่งแวดล้อม พวกเขาโต้แย้งว่าสุขภาพของโลกควรมีความสำคัญสูงสุด อันที่จริง การบริโภคนิยมแฟชั่นแบบ fast fashion แฟชั่นแบบ hyper fashion และปัญหาต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มทั่วโลก ต้องได้รับการปฏิรูป คิดใหม่ และปรับให้เข้ากับความเป็นจริงของเศรษฐกิจและสุขภาพของโลก

ต้นทุนและกำไร

แต่ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ราคาเสื้อผ้าที่ผู้บริโภคจ่ายไป จะเป็นตัวขับเคลื่อนโชคชะตาของ “ความยั่งยืน” หากสินค้ามีราคาสูงเกินไป ผู้บริโภคจะหลีกเลี่ยงการซื้อเพิ่ม แต่พวกเขาจะมองหาวิธีที่จะจ่ายน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย

ในแง่นี้ การเคลื่อนไหวเพื่อความยั่งยืนเสี่ยงต่อการกำหนดราคาตัวเองออกจากตลาด เป็นข้อคิดเห็นที่น่าเศร้า เมื่อพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อมโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายที่กำลังทำลายล้างส่วนต่าง ๆ ของโลกในทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ในระบบเศรษฐกิจนี้เศรษฐศาสตร์ผู้บริโภคจึงมีน้ำหนักมากกว่าความสนใจของผู้บริโภคในการบริโภคและเลือกซื้อสินค้า ดังนั้น ณ เวลานี้จึงถือได้ว่าเป็นยุคแห่งความไม่แน่นอนนั่นเอง

ที่มา : www.just-style.com  

เรียบเรียง : ศูนย์ข้อมูลและดิจิทัลอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

สิ่งแวดล้อมสิ่งทอ, อุตสาหกรรม, สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม, ความยั่งยืน, ธุรกิจ, sustainability, uncertainty, THTI, Fashion Intelligence Unit, FIU, FIU_'66