
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2564
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 44.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 18,191.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 10,042.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.70 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 6,158.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 26.94 โดยเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 นับตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าร้อยละ 29.33
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในรอบปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 38.68 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าลดลงร้อยละ 70.88 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการส่งออกทองคำในรอบปีนี้ปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยราคาทองคำในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,786.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในรอบปีมีความผันผวนจากปัจจัยกดดันต่างๆ โดยเฉพาะกรณีการปรับลดวงเงินซื้อคืนพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ทั้งยังปรับลดในอัตราที่เร็วกว่าเดิมและจะยุติการทำ QE ในเดือนมีนาคม 2565 รวมทั้งการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2565 จากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การถือครองทองคำของกองทุน SPDR ลดลง 195.08 ตัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
เครื่องประดับแท้ สินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 33.62 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.73 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน เติบโตได้ร้อยละ 21.71 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ได้สูงขึ้นร้อยละ 45.20, ร้อยละ 260.40 และร้อยละ 1.80 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และ 5 ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.66 และร้อยละ 33.38 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้น้อยละ 31.75 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอันดับที่ 1 และ 3-5 อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ที่ล้วนเติบโตขึ้นร้อยละ 82.73, ร้อยละ 103.20, ร้อยละ 19.68 และร้อยละ 17.52 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกง ตลาดในอันดับ 2 ลดลงร้อยละ 14 การส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม ขยายตัวร้อยละ 51.89 จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฮ่องกง ตลาดในอันดับที่ 1 และ 3-5 เติบโตได้ร้อยละ 150.41, ร้อยละ 124.77, ร้อยละ 66.63 และร้อยละ 22.99 ตามลำดับ ขณะที่ญี่ปุ่น ตลาดอันดับที่ 2 ลดลงร้อยละ 7.12
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.55 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 33.21 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.11 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดทั้ง 5 อันดับแรก อย่างอินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ล้วนมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 114.61, ร้อยละ 1.82, ร้อยละ 22.19, ร้อยละ 23.08 และร้อยละ 44.15 ตามลำดับ
พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 6.87 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ขยายตัวได้ร้อยละ 25.51 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 38.51 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลีฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดหลัก 5 อันดับแรก ได้สูงขึ้นร้อยละ 38.18, ร้อยละ 7.05, ร้อยละ 44.24, ร้อยละ 97.58 และร้อยละ 18.89 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.74 เนื่องจากการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 3-5 สามารถเติบโตได้ร้อยละ 61.86, ร้อยละ 333 และร้อยละ 86.38 ตามลำดับ ส่วนฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตลาดใน 2 อันดับแรก ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.04 และร้อยละ 36.76 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.67 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.70 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 70.02, ร้อยละ 61.64, ร้อยละ 25.49 และร้อยละ 3.25 ตามลำดับ มีเพียงลิกเตนสไตน์ ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมาหดตัวลงร้อยละ 46
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในรอบปี 2564 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.94 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ การพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสมีความก้าวหน้า แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเกิดการกลายพันธุ์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่ผลกระทบทั้งต่อผู้ป่วยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่มีการปรับตัวแล้วไม่ได้รับผลรุนแรงเช่นการแพร่ระบาดครั้งก่อน ทำให้การเชื่อมต่อกันในห่วงโซ่อุปทานมีความต่อเนื่องทั้งภายในและนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีการฟื้นตัวได้ดี การบริโภคสินค้าและบริการฟื้นตัวกลับมาได้ในระดับใกล้เคียงช่วงก่อนการแพร่ระบาด จึงช่วยหนุนให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยขยายตัวได้ โดยไทยส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 10 อันดับแรก ได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร เบลเยียม ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีมูลค่าเติบโตร้อยละ 51.29, ร้อยละ 0.78, ร้อยละ 60.65, ร้อยละ 1.70, ร้อยละ 134.66, ร้อยละ 21.23, ร้อยละ 6.49, ร้อยละ 29.82, ร้อยละ 10.71 และร้อยละ 70.43 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่สามารถเติบโตได้นั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 77 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม เติบโตขึ้นร้อยละ 45.20, ร้อยละ 82.73, ร้อยละ 23.08, ร้อยละ 7.05 และร้อยละ 70.02 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 1.82, ร้อยละ 38.18, ร้อยละ 61.64 และร้อยละ 1.76 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไป อินเดีย ที่เติบโตได้ดีนั้น เนื่องมาจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 72 เพิ่มขึ้นร้อยละ 114.61 ส่วนสินค้าที่ปรับตัวลงในตลาดนี้คือ โลหะเงิน พลอยก้อน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
สำหรับการส่งออกไปยัง เยอรมนี ตลาดในอันดับ 4 ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.70 เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 14.71, ร้อยละ 17.09, ร้อยละ 1 และร้อยละ 7.95 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร ขยายตัวต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 81 รวมทั้งสินค้าสำคัญลำดับถัดมาอย่างเครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 260.40, ร้อยละ 103.20, ร้อยละ 44.31 และร้อยละ 99.85 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง เบลเยียม ตลาดในอันดับ 6 ที่ขยายตัวสูงขึ้นนั้น มาจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 86 รวมทั้งสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเศษหรือของใช้ไม่ได้อื่นๆ ที่ทำด้วยโลหะมีค่า/หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับทอง เติบโตได้ร้อยละ 22.19, ร้อยละ 172.19, ร้อยละ 99.77 และร้อยละ 51.97 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่เติบโตนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.52, ร้อยละ 11.59 และร้อยละ 4.33 ตามลำดับ ขณะที่เครื่องประดับแพลทินัมลดลงร้อยละ 7.12
สำหรับการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เติบโตได้ร้อยละ 19.68, ร้อยละ 44.15, ร้อยละ 77.98 และร้อยละ 34.99 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง ออสเตรเลีย สามารถขยายตัวได้ดี เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ล้วนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.80, ร้อยละ 51.42, ร้อยละ 62.22, ร้อยละ 143.19 และร้อยละ 43.64 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ ที่เติบโตขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างโลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8,383.13, ร้อยละ 18.89, ร้อยละ 61.86 และร้อยละ 3.25 ตามลำดับ ในรอบปีที่ผ่านมาสวิตเซอร์แลนด์นำเข้าโลหะเงินสูงขึ้นเพื่อนำไปสกัดจากความต้องการโลหะเงินเพื่อเก็งกำไร
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การนำเข้า
การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2564 มีมูลค่า 12,598.67 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.05 โดยสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าสูงสุดในปี 2563 คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 67.39 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.31 อันเนื่องมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยมีการสำรองทองคำ เพิ่มมากขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา รวมทั้งทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากความไม่แน่นอนจากการระบาดของโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ มีความผันผวนสูง นอกจากนี้ การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จึงเพิ่มโอกาสในการทำกำไรของนักลงทุนให้สูงขึ้น เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยให้มีอุปสงค์ต่อทองคำในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เพชร ขยายตัวได้ร้อยละ 35.65 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพชรเจียระไน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.53 รวมถึงเพชรก้อนที่เติบโตสูงถึงร้อยละ 40.39 สำหรับ โลหะเงิน สินค้านำเข้าอันดับ 3 มีมูลค่าสูงขึ้น 54.93 ส่วน เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้านำเข้าในลำดับที่ 4 เติบโตได้ร้อยละ 21.18 ซึ่งส่วนมากเป็นการนำเข้าเครื่องประดับทองที่มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 11.99 และเครื่องประดับเงิน สินค้ารองลงมาเติบโตได้ร้อยละ 30.63 สำหรับสินค้าอันดับ 5 เป็น พลอยสี โดยมีสินค้าหลัก คือ พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ยังขยายตัวได้ร้อยละ36.16 และร้อยละ 8.64 ตามลำดับ
ทั้งนี้ สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 92 อยู่ในหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ ซึ่งมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการในรอบปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดได้ดีขึ้น ทำให้มีอุปสงค์ด้านการผลิตและการบริโภคเพิ่มขึ้น
ตารางที่ 3 มูลค่าการนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2563 และ 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
แหล่งนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญที่สุดของไทย คือ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 31.37 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 218.46 โดยสินค้านำเข้าหลักกว่าร้อยละ 98 คือ ทองคำฯ ฮ่องกง มีสัดส่วนการนำเข้าร้อยละ 17.67 เติบโตได้ร้อยละ 51.07 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าทองคำฯ ด้วยสัดส่วนกว่าร้อยละ 87 และมีสินค้ารองมา คือ เพชรเจียระไนและโลหะเงิน ที่ล้วนเติบโตได้ดีแหล่งนำเข้าสำคัญในลำดับ 3 คือ อินเดีย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.38 ขยายตัวได้ร้อยละ 48.73 โดยราวร้อยละ 92 เป็นการนำเข้าเพชรเจียระไน ส่วนสินค้ารองลงมา ได้แก่ เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ล้วนปรับตัวสูงขึ้น แหล่งนำเข้าที่มีมูลค่าสูงลำดับที่ 4 คือ ออสเตรเลีย มีสัดส่วนร้อยละ 6.56 มีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 582.90 จากการนำเข้าทองคำฯ ในสัดส่วนสูงราวร้อยละ 98 ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 644 ขณะที่ จีน เป็นตลาดนำเข้าอันดับ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.55 ขยายตัวได้จากการนำเข้าโลหะเงิน เครื่องประดับทอง และทองคำฯ ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.79, ร้อยละ 139.77 และร้อยละ 247.94 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 2 แหล่งนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในรอบ 12 เดือนของปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 44.79 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า เติบโตได้ร้อยละ 26.94 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.26 มีรายละเอียดดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในรอบปี 2564 ที่เติบโตได้นั้น เนื่องจากการฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งเป็นคู่ค้ากับไทย ส่วนใหญ่สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นปกติจากการดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่นำมาใช้ควบคู่กับการเร่งกระจายวัคซีนทำให้ครอบคลุมทั่วถึงประชากรส่วนใหญ่จึงสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยยะ อีกทั้งภาคการผลิตและการบริโภคทั่วโลกสามารถขยายตัวได้ มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ส่งเสริมให้การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยรวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับให้เติบโตได้ดีนับตั้งแต่มีนาคม 2564 เป็นต้นมา โดยสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม เครื่องประดับเทียม รวมทั้งเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในรอบปีที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนหลายประการทำให้ภาคการส่งออกเติบโตได้ดีแต่ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งพบเจอการกลายพันธุ์ทำให้การติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในหลายภูมิภาค ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศยังคงมีข้อจำกัดและมีการใช้มาตรการที่เข้มงวด รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางยุโรปมีนโยบายปรับลดวงเงินในโครงการ QE ให้เร็วขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของธนาคารกลางสหรัฐที่จะยุติการการเข้าซื้อพันธบัตรในเดือนมีนาคม ปี 2565 ทั้งยังจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าว เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นประเด็นที่ยังต้องจับตามอง นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เนื่องจากประเทศกลุ่มนี้ขาดเม็ดเงินในการอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงมีภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น จึงมีแนวโน้มทำให้การฟื้นตัวล่าช้าออกไป จากหลายปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 2565 จะเติบโตร้อยละ 4.1 ลดลงจากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.5
ทั้งนี้ สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากปี 2564 ยังคงมีผลสืบเนื่องต่อมาในปี 2565 ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องมีการเตรียมความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกของไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแตกต่างให้สินค้านับตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบในภูมิภาคเดียวกัน เพื่อเป็นการเชื่อมห่วงโซ่อุปทานไม่ให้ขาดตอน หรือการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากเขตการค้าเสรีที่ไทยเป็นภาคีเพื่อช่วยลดต้นทุนผลิต และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงการค้าออนไลน์หรือการสื่อสารการตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค Next Normal ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”