
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2564
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 54.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 12,064.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 5,546.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.58 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 3,261.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 26.58 โดยนับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าร้อยละ 43.80
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 41.20 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าลดลงร้อยละ 75.91 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการส่งออกทองคำสะสมใน 7 เดือนแรกที่ปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยราคาทองคำในเดือนกรกฎาคมปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,807.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์(https://www.kitco.com) โดยมีปัจจัยกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดส่งสัญญาณในการทบทวนลดวงเงินที่ใช้ในมาตรการ QE รวมทั้งมีแนวโน้มจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในทองคำ รวมทั้งกองทุน SPDR ทยอยขายทองคำตลอดเดือนกรกฎาคม
เครื่องประดับแท้สินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 31.51 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 31.40 โดยสินค้าส่งออกหลัก คือ เครื่องประดับเงิน ขยายตัวได้ร้อยละ 26.23 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ต่างเติบโตได้ร้อยละ 62.45, ร้อยละ 234.91 และร้อยละ 46.47 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และ 5 ลดลงร้อยละ 3.82 และร้อยละ 30.19 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.96 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ 5 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ที่ล้วนมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 98.15, ร้อยละ 0.01, ร้อยละ 36.82, ร้อยละ 154.05 และร้อยละ 16.93 ตามลำดับ ส่วนการส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม เติบโตได้ร้อยละ 106.54 จากการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฮ่องกง ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 874.65, ร้อยละ 3.18, ร้อยละ 170.33, ร้อยละ 104.88 และร้อยละ 114.92 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.40 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เติบโตได้ร้อยละ 40.87 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ สามารถขยายตัวได้ร้อยละ 45.35 เนื่องจากการส่งออกไปยังอินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดใน 5 อันดับแรกต่างมีมูลค่าสูงขึ้นได้ร้อยละ 172.44, ร้อยละ 18.47, ร้อยละ 13.55, ร้อยละ 13.20 และร้อยละ 70.22 ตามลำดับ
พลอยสีเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 6.57 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ปรับตัวขึ้นร้อยละ 2.54 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.80 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลีตลาดในอันดับ 1, 3 และ 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.65, ร้อยละ 141.26 และร้อยละ 9.83 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 2 และ 5 หดตัวลงร้อยละ 23.93 และร้อยละ 2.26 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ปรับตัวลดลงร้อยละ 19.14 อันเนื่องมาจากการส่งออกไปยังฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตลาดใน 2 อันดับแรก ได้ลดลงร้อยละ 29.45 และร้อยละ 61.25 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 3-5 ยังขยายตัวได้ร้อยละ 24.43, ร้อยละ 443.57 และร้อยละ 88.93 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.61 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.68 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญในอันดับที่ 3 อย่างลิกเตนสไตน์ ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 61.79 ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 ยังขยายตัวได้ดีร้อยละ 78.65, ร้อยละ 73.74, ร้อยละ 27.15 และร้อยละ 20.38 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.58 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เนื่องมาจากการกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกเข้าถึงประชากรส่วนใหญ่ มีการคลายล็อคดาวน์ในหลายประเทศทำให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดได้อีกครั้ง รวมทั้งภาครัฐทั่วโลกยังคงใช้มาตรการการเงินการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ โดยไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง อินเดีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ญี่ปุ่น เบลเยียม ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับ 1, 2 และ 4-10 ซึ่งมูลค่าเติบโตร้อยละ 51.07, ร้อยละ 7.36, ร้อยละ 53.06, ร้อยละ 145.40, ร้อยละ 50.04, ร้อยละ 15.45, ร้อยละ 10.45, ร้อยละ 62.20 และร้อยละ 54.98 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นเนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.45, ร้อยละ 98.15, ร้อยละ 13.20 และร้อยละ 78.65 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 18.47, ร้อยละ 0.01, ร้อยละ 15.65 และร้อยละ 73.74 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง อินเดีย ขยายตัวได้สูงจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 80 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 172.44 ส่วนสินค้าที่หดตัวในตลาดนี้คือ โลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
การส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทองซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าร้อยละ 78 รวมทั้งสินค้าสำคัญลำดับถัดมาอย่างเครื่องประดับเทียม และ พลอยเนื้อแข็งเจียระไน ล้วนเติบโตขึ้นร้อยละ 234.91, ร้อยละ 154.05, ร้อยละ 51.19 และร้อยละ 111.67 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.82, ร้อยละ 70.22 และร้อยละ 243.79 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่เติบโตนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับแพลทินัม เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.93, ร้อยละ 3.18, ร้อยละ 2.07, ร้อยละ 22.37 และร้อยละ 12.90 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง เบลเยียม ที่ขยายตัวนั้น มาจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 86 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับทอง ได้สูงขึ้นร้อยละ 13.55, ร้อยละ 116.40, ร้อยละ 194.06 และร้อยละ 118.27 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง ออสเตรเลีย ยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.47, ร้อยละ 129.95, ร้อยละ 131.30, ร้อยละ 350.39 และ ร้อยละ 121.61 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ ที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างโลหะเงิน เครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5,670.31, ร้อยละ 20.38 และร้อยละ 24.43 ตามลำดับ
ขณะที่ เยอรมนี ตลาดในอันดับ 3 ลดลงร้อยละ 1.59 เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเทียม ได้ลดลงร้อยละ 3.82, ร้อยละ 7.67 และร้อยละ 10.11 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองค า) ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 54.02 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า เติบโตสูงขึ้นร้อยละ 26.58 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.81 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้นเนื่องจากเศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ล้วนสะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั่วโลก ทำให้การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยรวมทั้งการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับมีเพิ่มมากขึ้นโดยสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับแพลทินัม
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยการแพร่ระบาดระลอกใหม่และไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจทำให้ภาครัฐในหลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ยังชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของหลายประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการเข้าถึงวัคซีน รวมทั้งปัจจัยท้าทายที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนวัคซีน ภาระหนี้ที่สูงขึ้น และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐในการจัดการกับการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ล่าช้าออกไป
ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น นอกจากผู้ประกอบการไทยต้องปรับการเข้าถึงผู้บริโภคทางออนไลน์โดยผสมผสานในหลายสื่อออนไลน์ให้เกิดความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มแล้ว การรักษาระดับเงินทุนเพื่อให้ธุรกิจยืนระยะได้ยาวขึ้น รวมทั้งภาคการผลิตควรใช้การผสมผสานระบบเครื่องจักรอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีให้เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนปัญหาขาดแคลนแรงงานบางส่วน จะเป็นทางเลือกในห้วงเวลาที่การแพร่ระบาดในประเทศ ยังเป็นประเด็นหลักที่ต้องจับตามอง
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”