
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2564
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 55.37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 10,072.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 4,495.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 6 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.40 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 2,755.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 23.86 นับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว พบว่ามูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 114.31 ขณะที่มีนาคม เมษายน และพฤษภาคม ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าร้อยละ 23.28, ร้อยละ 106.57 และร้อยละ 113.27 ตามลำดับ
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 38.71 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าลดลงร้อยละ 77.83 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการส่งออกทองคำสะสมลดลงมากต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนแรกก่อนจะส่งออกไปได้เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น จากนั้นการส่งออกทองคำลดลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งสอดคล้องกับราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,834.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์(https://www.kitco.com) โดยได้รับปัจจัยลบจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อีกทั้งกองทุน SPDR เริ่มกลับมาเทขายทองคำ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า ราคาทองคำในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง
เครื่องประดับแท้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.61 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เติบโตร้อยละ 29.86 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.31 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ตลาดหลักอันดับที่ 1, 3 และ 4 ซึ่งขยายตัวได้ร้อยละ 61.02, ร้อยละ 60.22 และร้อยละ 214.74 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และ 5 ลดลงร้อยละ 1.83 และร้อยละ 13.85 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.45 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ตลาดอันดับที่ 1, 3, 4 และ 5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 83.66, ร้อยละ 31.09, ร้อยละ 154.53 และร้อยละ 19.10 ตามลำดับ มีเพียงฮ่องกงตลาดสำคัญในอันดับที่ 2 ลดลงร้อยละ 6.30 ส่วนการส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 106.60 จากการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้ง 5 อันดับแรกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฮ่องกง ต่างขยายตัวร้อยละ 7.80, ร้อยละ 757.87, ร้อยละ 180.39, ร้อยละ 76.92 และร้อยละ 129.76 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 13.24 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.32 โดยเพชรเจียระไนซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ขยายตัวได้ร้อยละ 49.87 เนื่องจากการส่งออกไปยังอินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดหลักใน 5 อันดับแรกล้วนเติบโตสูงขึ้นร้อยละ 187.11, ร้อยละ 18.39, ร้อยละ 10.47, ร้อยละ 65.02 และร้อยละ 70.04 ตามลำดับ
พลอยสีเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 6.79 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ปรับลดลงร้อยละ 5.08 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ขยายตัวได้ร้อยละ 8.30 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง ฝรั่งเศส อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับ 1, 3, 4 และ 5 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.18, ร้อยละ 189.87, ร้อยละ 0.22 และร้อยละ 13.87 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ตลาดในสถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2564 อันดับที่ 2 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 37.12 พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 23.12 อันเนื่องมาจากการส่งออกไปยังฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตลาดหลักใน 2 อันดับแรก ได้ลดลงร้อยละ 34.54 และร้อยละ 66.74 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยัง ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 3-5 สามารถขยายตัวได้ร้อยละ 464.20, ร้อยละ 11.76 และร้อยละ 82.32 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.73 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.78 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอันดับ 3 และอันดับ 6 อย่างลิกเตนสไตน์และสิงคโปร์ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 และ 2 ในปีที่ผ่านมา หดตัวลงมากถึงร้อยละ 64.69 และร้อยละ 51.28 ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 ยังเติบโตได้ร้อยละ 66.35, ร้อยละ 78.99, ร้อยละ 28.32 และร้อยละ 25.36 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกรายการสำคัญรายเดือน (ดังแผนภาพที่ 1) พบว่า การส่งออกสินค้าสำคัญทั้งเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ในปี 2564 มีการปรับตัวดีขึ้นช่วงสั้นๆ สลับกับการปรับตัวลง โดยเดือนมกราคมถือเป็นจุดต่ำสุดของครึ่งปีแรก หลังจากนั้นในภาพรวมการส่งออกมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางบวก เนื่องจากหลายประเทศคู่ค้าสำคัญมีการฟื้นตัวในการบริโภคดีขึ้น อาทิ สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และออสเตรเลีย เป็นต้น ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากประเทศคู่ค้าเหล่านี้มีอัตราการกระจายวัคซีนสู่ประชาชนได้มาก รวมทั้งการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้ออัญมณีและเครื่องประดับฟื้นกลับมา
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
แผนภาพที่ 1 แสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน ปี 2563-2564
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เติบโตขึ้นร้อยละ 23.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว มาจากอัตราการฉีดวัคซีนของประเทศคู่ค้าที่สำคัญสามารถกระจายสู่ประชาชนหมู่มากได้สำเร็จ มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นในการบริโภคจึงเพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อสินค้าฟุ่มเฟือยรวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับ ทำให้ไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้สูงขึ้นได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง อินเดีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เบลเยียม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญในอันดับ 1, 2, และ 4-10 ล้วนมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 46.42, ร้อยละ 3.04, ร้อยละ 50.17, ร้อยละ 129.69, ร้อยละ 16.38, ร้อยละ 7.06, ร้อยละ 47.67, ร้อยละ 74.85 และร้อยละ 44.13 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 42.75, ร้อยละ 34, ร้อยละ 6.78, ร้อยละ 5.72 และร้อยละ 3.54 ตามลำดับ เนื่องมาจากการบริโภคเริ่มฟื้นตัว จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 1 โดส ไปแล้วราวร้อยละ 67 ของประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ IMF ปรับคาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ ในปีนี้จะเติบโตได้ร้อยละ 7
มูลค่าการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 18.39, ร้อยละ 7.18, ร้อยละ 78.99 และร้อยละ 34.81 ตามลำดับ ทั้งนี้ เศรษฐกิจฮ่องกงเติบโตร้อยละ 7.8 ในไตรมาสแรกทำให้พ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของฮ่องกงยังต่ำกว่าที่คาด อาจทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวช้า และอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวลงได
ส่วนการส่งออกไปยัง อินเดีย ขยายตัวสูงนั้น จากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 79 ได้เพิ่มสูงถึงร้อยละ 187.11 เนื่องจากอุตสาหกรรมเพชรในอินเดียกลับมามีกำลังผลิตเต็มศักยภาพอีกครั้ง ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเพชรไม่ขาดตอน จากการที่ผู้ผลิตและผู้ค้าเร่งการผลิตและส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการเพชรในตลาดโลก ส่วนสินค้าที่หดตัวในตลาดนี้คือ โลหะเงิน พลอยก้อน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
สำหรับการส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร เติบโตได้ดีส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่รวดเร็วทำให้สามารถคลายล็อคดาวน์ได้เร็ว ประชากรสามารถกลับมาจับจ่ายใช้สอยได้ใกล้เคียงก่อนเกิดการแพร่ระบาด โดยธนาคารกลางแห่งอังกฤษคาดการณ์ว่า ตัวเลข GDP จะขยายตัวมากถึงร้อยละ 7.25 ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอัตราเติบโตสูงสุดในรอบ 70 ปี โดยสินค้าหลักส่งออกไปยังตลาดนี้เป็นเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 79 และสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับเทียม พลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเครื่องประดับแพลทินัม ต่างมีมูลค่าเติบโตร้อยละ 154.53, ร้อยละ 214.74, ร้อยละ 38.56, ร้อยละ 101.42 และร้อยละ 76.92 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการบริโภคในประเทศและภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แม้จะมีการหดตัวลงในช่วงที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ แต่โดยรวมยังหนุนการบริโภค ทำให้ไทยยังสามารถส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับแพลทินัม เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ไปยังตลาดนี้ได้สูงขึ้นร้อยละ 19.10, ร้อยละ 7.80, ร้อยละ 25.63 และร้อยละ 12.53 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง เบลเยียม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปอย่างเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุดราวร้อยละ 86 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.47 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า ที่ต่างปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 151.80 และร้อยละ 138.75 ตามลำดับ นอกจากนี้ ปัจจัยการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเพชรในประเทศและการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวจากปีก่อนนับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ในตลาดนี้
การส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตลาดในอันดับ 8 ที่ขยายตัวนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เพชรก้อน และเครื่องประดับแพลทินัม ได้สูงขึ้นร้อยละ 31.09, ร้อยละ 70.04, ร้อยละ 280.36, ร้อยละ 1,881.95 และร้อยละ 292.44 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง ออสเตรเลีย ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิดได้ดี ทั้งยังเป็น 1 ใน 6 ประเทศในโลกที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับมาสูงกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกับอีก 5 ประเทศอย่างจีน ชิลี โรมาเนีย ลิทัวเนีย และเกาหลีใต้ (ข้อมูลจากศูนย์ให้คำปรึกษาทางเศรษฐกิจ Deloitte Access Economics ประเทศออสเตรเลีย) จึงทำให้การส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการสามารถเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ต่างขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 60.22, ร้อยละ 142.61, ร้อยละ 128.49, ร้อยละ 495.82 และร้อยละ 138.46 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ที่เติบโตได้นั้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างโลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน รวมทั้งเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3,895.09, ร้อยละ 13.87, ร้อยละ 11.76 และร้อยละ 25.36 ตามลำดับ โดยการส่งออกโลหะเงินที่มากขึ้นนั้น เนื่องจากความต้องการโลหะเงินในตลาดโลกสูงขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมและการลงทุน จึงมีการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศศูนย์กลางการค้าและการสกัดโลหะมีค่า
ขณะที่การส่งออกไปยัง เยอรมนีตลาดในอันดับ 3 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.07 เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 83 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาอย่างเครื่องประดับเทียมได้ลดลงร้อยละ 1.83, ร้อยละ 6.48 และร้อยละ 14.81 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 2 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 55.37 หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า เติบโตสูงขึ้นร้อยละ 23.86 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.52 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจมีสัญญาณของการฟื้นตัวทั่วโลกดีขึ้น การบริโภคทยอยฟื้นตัวและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการใช้จ่ายสินค้าอื่นๆ รวมทั้งซื้ออัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มมากขึ้นโดยสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเพชรเจียระไน
อย่างไรก็ตาม รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (GEP) ฉบับล่าสุดจากกลุ่มธนาคารโลก ระบุว่า เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.6 ในปี 2564 ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีน แต่การฟื้นตัวยังกระจุกตัวเพียงบางประเทศอีกทั้งยังมีปัจจัยที่ควรกังวลทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ทำให้ส่งผลต่อผู้ได้รับเชื้อรุนแรงมากกว่าเดิม การฉีดวัคซีนในหลายประเทศยังไม่ทั่วถึงเพียงพอกำลังการผลิตไม่ทันความต้องการและจัดส่งวัคซีนที่ล่าช้า รวมทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอาจก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา หรือปัญหาการก่อหนี้ที่สูงขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกและส่งผลต่อการส่งออกของไทย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องสร้างความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีและใช้การสื่อสารการตลาดในสื่อออนไลน์ได้อย่างหลากหลายและเหมาะสมในการเข้าถึงผู้บริโภครวมทั้งศึกษาพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ตรงความต้องการลูกค้า แต่อยู่บนพื้นฐานสร้างความโปร่งใสและมีจริยธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญมาก รวมไปถึงการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจให้พร้อมรับโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”