
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2564
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 62.95 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 9,574.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 3,547.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 6 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.27 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 2,239.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 12.89 โดยนับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 113.27
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 36.87 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าลดลงร้อยละ 82.77 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการส่งออกทองคำสะสมในไตรมาสแรกที่ปรับตัวลดลงมาก อย่างไรก็ดี หากพิจารณาการส่งออกในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียวพบว่า มูลค่าการส่งออกทองคำเติบโตสูงถึงร้อยละ 201.31 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,853.22 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) ในเดือนพฤษภาคม โดยได้รับปัจจัยบวกจากการประกาศคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด นักลงทุนโยกย้ายเงินจากตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มีแนวโน้มขาลงมาสู่ทองคำ รวมทั้งกองทุน SPDR เข้าทยอยซื้อสุทธิทองคำตลอดเดือนพฤษภาคม
เครื่องประดับแท้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33.53 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 17.86 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน ขยายตัวได้ร้อยละ 20.26 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ที่เติบโตได้ร้อยละ 42.14, ร้อยละ 67.03 และร้อยละ 188.90 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และอันดับ 5 หดตัวลงร้อยละ 10.87 และร้อยละ 17.71 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.78 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 1, 3, 4 และ 5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.07, ร้อยละ 113.37, ร้อยละ 1.26 และร้อยละ 9.57 ตามลำดับ เว้นเพียงฮ่องกงตลาดสำคัญในอันดับที่ 2 ซึ่งลดลงร้อยละ 17.81 ส่วนการส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 115.24 จากการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฮ่องกง ล้วนขยายตัวร้อยละ 3,124.34, ร้อยละ 2.40, ร้อยละ 157.88, ร้อยละ 66.26 และร้อยละ 166.21 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.78 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเติบโตร้อยละ 37.06 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ซึ่งขยายตัวได้ร้อยละ 43.20 เนื่องจากการส่งออกไปยังอินเดีย ฮ่องกง เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดใน 5 อันดับแรกต่างเติบโตได้ร้อยละ 178.88, ร้อยละ 11.30, ร้อยละ 1.17, ร้อยละ 44.34 และร้อยละ 68.02 ตามลำดับ
พลอยสีเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 7.06 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ปรับตัวลงร้อยละ 14.02 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.35 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอิตาลีตลาดในอันดับ 1, 2 และ 4 ได้ลดลงร้อยละ 4.69, ร้อยละ 43.19 และร้อยละ 2.44 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 3 และ 5 เติบโตได้ดีร้อยละ 182 และร้อยละ 15.60 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 29.75 อันเนื่องมาจากการส่งออกไปยังฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตลาดหลักใน 2 อันดับแรก ได้ลดลงร้อยละ 43.42 และร้อยละ 69.35 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 3-5 ยังขยายตัวได้ร้อยละ 6.23, ร้อยละ 338.96 และร้อยละ 82.38 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.83 หดตัวลงร้อยละ 11.99 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญในอันดับที่ 3 อย่างลิกเตนสไตน์ ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมา ได้ลดลงร้อยละ 69.67 ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 สามารถเติบโตได้ร้อยละ 59.71, ร้อยละ 84.38, ร้อยละ 27.63 และร้อยละ 29.91 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว จากการเร่งกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในการบริโภค สอดคล้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ จึงเป็นปัจจัยบวกต่อสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ ทำให้ไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้สูงขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญในอันดับ 1, 4, 5, 6, 8 และ 9 ที่ต่างมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 32.09, ร้อยละ 38.18, ร้อยละ 98.34, ร้อยละ 10.98, ร้อยละ 76.50 และร้อยละ 28.36 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นเนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ล้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.14, ร้อยละ 70.07, ร้อยละ 44.34 และร้อยละ 59.71 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังอินเดียขยายตัวสูงจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 79 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 178.88 ส่วนสินค้าที่หดตัวในตลาดนี้คือ โลหะเงิน พลอยก้อน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
ส่วนการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่าร้อยละ 78 รวมถึงสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับเทียม พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับแพลทินัม ล้วนมีมูลค่าเติบโตร้อยละ 113.37, ร้อยละ 188.90, ร้อยละ 34.39, ร้อยละ 53.71 และ ร้อยละ 66.26 ตามลำดับ
มูลค่าส่งออกไปยังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.98 เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับแพลทินัม เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 9.57, ร้อยละ 2.40, ร้อยละ 20.87 และร้อยละ 4.92 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยังออสเตรเลียยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการมีมูลค่าสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ล้วนแล้วแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.03, ร้อยละ 123.16, ร้อยละ 149.42, ร้อยละ 456.21 และร้อยละ 165.35 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ขยายตัวนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับแพลทินัม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26, ร้อยละ 68.02, ร้อยละ 263.84 และร้อยละ 314.68 ตามลำดับ
ขณะที่ตลาดอื่นๆ ที่หดตัวลง คือ ฮ่องกง ตลาดอันดับ 2 ปรับตัวลงร้อยละ 6.96 จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้ลดน้อยลงร้อยละ 17.81, ร้อยละ 4.69 และร้อยละ 43.42 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยังเยอรมนีตลาดในอันดับ 3 ลดลงร้อยละ 9.98 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเทียม หดตัวลงร้อยละ 10.87, ร้อยละ 12.35 และร้อยละ 17.92 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังเบลเยียมตลาดในอันดับ 7 ปรับตัวลงร้อยละ 2.35 จากการส่งออกเพชรก้อน ที่เคยเป็นสินค้าสำคัญอันดับ 2 ในปีที่ผ่านมา ลดลงถึงร้อยละ 86.44 ในขณะที่เพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักก็เติบโตเพียงร้อยละ 1.17
ส่วนการส่งออกไปยังสิงคโปร์ตลาดในอันดับที่ 10 ลดลงร้อยละ 15.57 จากการที่สินค้าสำคัญอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 72.08, ร้อยละ 9.24, ร้อยละ 54.99 และร้อยละ 21 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2564
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 62.95 หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำฯ พบว่า เติบโตสูงขึ้นร้อยละ 12.89 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.57 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ยังมีสูง ดังเช่น 1) อัตราการกระจายวัคซีนที่ยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ 2) มาตรการของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่อาจเปลี่ยนแปลงสร้างผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของนานาประเทศ 3) หลายประเทศอนุญาตให้จัดกิจกรรมที่มีคนชุมนุมหมู่มากเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดขึ้นอีก 4) การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาทำให้การฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม อาจไม่เพียงพอ เหล่านี้ล้วนจะส่งผลกระทบให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชะลอตัว
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาประเทศทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคต่างมั่นใจในการใช้จ่ายและซื้ออัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น โดยสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับแพลทินัม
ทั้งนี้แนวทางที่ผู้ประกอบการไทยต้องคำนึงถึงนอกจากการเข้าถึงผู้บริโภคทางออนไลน์แล้ว การขายสินค้าที่มีจริยธรรมมีแหล่งวัตถุดิบที่ทั่วโลกยอมรับ มีความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน ล้วนเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแล้ว สินค้าที่มีมาตรฐาน บริการที่ประทับใจยังไม่เพียงพอ หากขาดการค้าที่มีจริยธรรม
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”