หน้าแรก / THTI Insight / ข่าวรายวัน / ไบเดนสั่งแบน‘ทับทิม’เมียนมาสะเทือนไทย

ไบเดนสั่งแบน‘ทับทิม’เมียนมาสะเทือนไทย

กลับหน้าหลัก
25.02.2564 | จำนวนผู้เข้าชม 663

ไบเดนสั่งแบน‘ทับทิม’เมียนมาสะเทือนไทย

“ไบเดน”สั่งแบนนำเข้า “ทับทิม”จาก 3 บริษัทใหญ่ในเมียนมา ลามกระทบส่งออกอัญมณีฯไทยไปสหรัฐฯ ระบุกระทบชิ่งไทยนำเข้าวัตถุดิบจากเมียนมานำมาเจียระไนส่งออก จ่อถูกแจงยิบแหล่งกำเนิดสินค้าตลาด 1,100 ล้าน ส่อมีปัญหา


สำนักงานส่งเสริมการค้าไทยในต่างประเทศ (สคต.หรือทูตพาณิชย์) ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รายงานสถานการณ์ในเมียนมา ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 หลังรัฐประหารว่า ยังคงมีการหยุดงานประท้วงของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในเมืองใหญ่ต่อเนื่อง ขณะที่ชาติตะวันตก อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดาได้ประกาศ ควํ่าบาตรแบบเจาะจง (Targeted Sanction) ผู้นำกองทัพเมียนมาและบริษัทเมียนมาที่กองทัพถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของ


ทั้งนี้ในส่วนของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกคำสั่งและกำหนดมาตรการควํ่าบาตรต่อเมียนมา ซึ่งหนึ่งในมาตรการคือการห้ามนำเข้าอัญมณี “ทับทิม” เมียนมา จาก 3 บริษัทใหญ่ คือ Myanmar Ruby Enterprise,Myanmar Imperial Jade Co. และ Cancri (Gems and Jewellery) Co. จากทั้ง 3 บริษัทนี้มีเจ้าของหรือเป็นบริษัทในเครือซึ่งควบคุมหรือมีความเกี่ยวพันกับกองทัพของเมียนมา ในเบื้องต้น Ms.Sara Yood ที่ปรึกษาอาวุโสของ Jewelers Vigilance Committee (JVC) ได้แนะนำให้นักธุรกิจที่ทำการค้าและนำเข้าสินค้าอัญมณีจากบริษัทดังกล่าวให้ยุติการติดต่อหรือการเจรจาการค้าในทันที


อย่างไรก็ดีในอดีตสหรัฐฯเคยออกพระราชบัญญัติห้ามนำเข้าทับทิมและหยกจากเมียนมา(The JADE Act) ในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งเป็นกฎหมายที่ห้ามการนำเข้า ทับทิมและหยกที่มีถิ่นกำเนิดจากเมียนมา แม้ว่าจะถูกนำไปพัฒนาปรับปรุงหรือเจียระไนในประเทศอื่นก็ตาม ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลต่อผู้นำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงนักธุรกิจไทยที่อาจประสบความยุ่งยากในการชี้แจงแหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้าดังกล่าว จากสหรัฐฯมีความสงสัยว่าทับทิมจากไทยอาจจะมาจากเมียนมา ก่อนสหรัฐฯได้ยกเลิกมาตรการในปี 2559 สมัยประธานาธิบดีโอบามา


สคต. ณ กรุงย่างกุ้งระบุอีกว่า ตลาดสหรัฐฯมีความต้องการทับทิมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากมีการควํ่าบาตรในมุมกว้าง อาจเกิดอุปสรรคต่อไทย เพราะไทยเป็นศูนย์กลางส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สหรัฐฯให้ความไว้วางใจ อาจถูกลดลำดับความสำคัญลง เนื่องจากทับทิมไทยส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดจากเมียนมา ขณะที่ในปี 2563 การนำเข้าทับทิมของสหรัฐฯจากทั่วโลก (HS7103910010) มีมูลค่า 3,598.42 ล้านบาท (119.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 1 มูลค่า 1,103.69 ล้านบาท (36.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือมีสัดส่วน 30.67% ของการนำเข้า

นายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ช่วง 15 ปีที่ผ่านมาไทยเคยมีการนำเข้าวัตถุดิบทับทิม พลอย และหยกจากเมียนมาแต่ละปีเป็นจำนวนมาก แต่ช่วงหลังการนำเข้าจากเมียนมาลดน้อยลง จากของมีน้อยและราคาสูงขึ้นมาก ทำให้เวลานี้ผู้ประกอบการหันไปนำเข้าวัตถุดิบส่วนใหญ่จากประเทศโมซัมบิกเป็นหลัก เพื่อมาเจียระไนแล้วส่งออก ดังนั้นการแบนนำเข้าทับทิมจากเมียนมาของสหรัฐฯในครั้งนี้มองว่าไม่น่ากระทบกับไทยมากนัก


สำหรับภาพรวมการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยคาดว่าในปีนี้อาจจะขยายตัวได้ที่ 3-5%จากปีก่อนติดลบ40%


ด้านนายกิตติศักดิ์ อุดมแดงอร่าม รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากที่สหรัฐฯประกาศแบนนำเข้าทับทิมจากเมียนมาที่มีต่อไทยในเวลานี้ยังไม่ชัดเจน แต่มองเป็นเรื่องที่น่ากังวล ซึ่งทางกลุ่มจะได้ขอข้อมูลการนำเข้าจากผู้ค้าทับทิม พลอย หยกจากเมียนมาเพื่อประเมินผลกระทบจากข้อเท็จจริงต่อไป


ที่มา : หน้า 2 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,656 วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/469893

ข่าวรายวัน,อัญมณี,เครื่องประดับ,ทับทิม,เมียนมา,สหรัฐฯ,ส่งออก