หน้าแรก / THTI Insight / ข่าวรายวัน / การ์เมนต์ปรับไลน์ผลิตPPE “หน้ากาก-ชุุดป้องกัน” ต่อยอดฮับสุขภาพ

การ์เมนต์ปรับไลน์ผลิตPPE “หน้ากาก-ชุุดป้องกัน” ต่อยอดฮับสุขภาพ

กลับหน้าหลัก
22.04.2563 | จำนวนผู้เข้าชม 1541

การ์เมนต์ปรับไลน์ผลิตPPE “หน้ากาก-ชุุดป้องกัน” ต่อยอดฮับสุขภาพ

ไม่รอวันตาย 40 โรงงานเครื่องนุ่งห่มปรับไลน์ผลิตหน้ากากอนามัย-ชุด PPE ฉวยวิกฤตโควิดเป็นโอกาส ต่อยอดสู่ Medical Textile หวังลดการนำเข้า-ชิงมาร์เก็ตแชร์ชุด PPE สู้บิ๊ก 4 ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และสหรัฐ ส.เครื่องนุ่งห่มวอนรัฐอัดงบฯ 50 ล้านบาท พัฒนาแล็บตรวจสอบชุด PPE มาตรฐานสากล

นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้มีโรงงานผู้ผลิตเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 30-40 โรงงาน หันมาผลิตหน้ากากอนามัยผ้าและชุด PPE (personal protective equipment) แทน ผลจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ปริมาณความต้องการสินค้ากลุ่มสิ่งทอทางการแพทย์ (medical tex-tile) มีจำนวนมากขึ้น ทั้งหน้ากากผ้า รวมถึงชุด PPE อุปกรณ์ป้องกันและคุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล สำหรับที่ใช้ทางการแพทย์ ขณะเดียวกันตลาดส่งออกเครื่องนุ่งห่มทั่วโลกก็ชะลอตัวจากการปิดเส้นทางและผลจากโควิด-19 รวมถึงตลาดในประเทศกำลังซื้อลดลงด้วย จึงเป็นแรงผลักให้อุตสาหกรรมปรับตัว


ทั้งนี้ โรงงานที่ผันมาตัดชุด PPE ส่วนใหญ่แปลงจากโรงงานเสื้อผ้ากีฬาทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งเดิมผลิตขายในตลาดส่งออกระดับโลก ใช้ผ้าทอจากเส้นใยประดิษฐ์เนื้อแน่นกันน้ำได้ตามมาตรฐานสากล พวกโพลิเอสเตอร์ 100% ซึ่งถือว่าน้ำมีโมเลกุลเล็กกว่าเชื้อ 400 เท่า ที่ใช้ผลิตชุดกีฬาก็จะใช้วัสดุนี้อยู่แล้ว จึงสามารถใช้แทนชุด PPE ค่ามาตรฐานระดับ 2 จากระดับมาตรฐานชุด PPE ที่มีทั้งหมด 5 ระดับ ซึ่งเป็นระดับที่ใช้ในบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลบริเวณด้านนอกทั่วไป ไม่ใช่แพทย์ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วย


“หากถามว่า ไทยมีโอกาสพัฒนา PPE ระดับ 5 ได้หรือไม่ สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องลงทุนพัฒนาห้องปฏิบัติการหรือ lab เพราะในปัจจุบันเรามีแล็บทดสอบได้เฉพาะชุดกันน้ำแต่ไม่มีสำหรับทดสอบการป้องกันเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือชิ้นส่วนขนาดเล็กของเชื้อได้ ซึ่งทางเราเคยเสนอหน่วยงานรัฐแล้ว ทั้งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ ใช้งบประมาณลงทุนเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น”


นายยุทธนากล่าวว่า ผลดีหากไทยพัฒนาชุด PPE ได้เพิ่ม ไม่เพียงจะช่วยลดการนำเข้าชุด PPE จากต่างประเทศได้ แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดธุรกิจ จากเดิมเราเน้นแค่ชุดแฟชั่น ชุดกีฬา ซึ่งก็อยู่ในช่วงการส่งออกขาลง ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้นำการผลิตชุด PPE โลกมี 3-4 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และสหรัฐ ซึ่งไทยต้องนำเข้าแบรนด์ 3เอ็ม ดูปองท์ เข้ามาใช้ ราคาชุดละ 200-300 บาท ใช้ได้ครั้งเดียว แต่หากใช้เส้นใยโพลิเอสเอสเตอร์จะรียูสใช้ได้ 30 ครั้ง ราคาชุดละ 1,000-1,500 บาท เฉลี่ยครั้งละ 50 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่า ส่วนกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้เพียงใดขึ้นอยู่กับวัตถุดิบผ้า ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 4 โรงงานเท่านั้น (ตามกราฟิก) หากแก้ไขเรื่องแล็บและวัตถุดิบได้ก็จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้อีก


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการผันตัวสู่ medical textile จะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ก็ยังถือเป็นสัดส่วนน้อย หากเทียบกับจำนวนโรงงานทั้งหมด 2,200 โรงงานที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมโรงงานฯ ซึ่งมีสมาชิกสมาคมอยู่ประมาณ 400 โรงงาน และมีจำนวนแรงงานในอุตสาหกรรม 2 แสนคน โดยก่อนหน้านี้แทบทุกโรงงานปรับตัวมาผลิตหน้ากากอนามัยผ้า ซึ่งคาดว่าเฉพาะในเดือนเมษายนจะมีผลผลิตออกมา 40 ล้านชิ้น หลังจากนั้นต้องรอประเมินว่าสินค้าล้นตลาดหรือไม่ เพราะมีหน้ากากอนามัยผ้าจากหน่วยงานภาครัฐเริ่มทยอยออกสู่ตลาด ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม 10 ล้านชิ้น กระทรวงมหาดไทย 20 ล้านชิ้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 2-3 ล้านชิ้น และหน่วยงานอื่นอีก 10 ล้านชิ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณหน้ากากผ้า “สูง” เกินกว่าปริมาณความต้องการของผู้ใช้ และต่อไปการผลิตก็จะลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการ


“ข้อเสนอสำคัญที่ขอภาครัฐดูแลคือ ขอให้ดูแลด้านประกันสังคมจ่ายค่าแรงงานซึ่งเรารอความชัดเจนว่าจะอย่างไร ที่ผ่านมาเอกชนไม่มีรายรับ ก็พยายามลดรายจ่าย ไม่ซื้อผ้า ไม่ใช้น้ำใช้ไฟ ไม่มีค่าการตลาด แต่ยังต้องจ่ายค่าแรงงาน 75% หากปิดต้องจ่ายแรงงาน หากหยุดชั่วคราวอ้างฉุกเฉินได้แต่เราก็ยังสงสัยว่าหากหยุดชั่วคราวบางแผนกจะจ่ายแค่ไหน อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยให้ตรงจุด เพราะถึงรัฐช่วยเหลือด้วยการให้กู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำก็เท่ากับเรากู้มาจ่ายค่าแรงงาน ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีรายรับ ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้”


รายงานข่าวระบุว่า ผู้ประกอบการกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร และสายการผลิตเดิมมาเป็นผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์จะได้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร แต่ต้องนำเข้าภายในปีนี้ และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563 และกิจการผลิต non-woven fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัย หรืออุปกรณ์การแพทย์ จะได้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี โดยขณะนี้มีเพียงกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเท่านั้นที่ปรับการผลิตมาทำหน้ากาก เนื่องจากสามารถใช้เครื่องจักรเดียวกันได้ และมีซีพี ส่วนบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเดิมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตระบบพัดลมปลอดเชื้อ นำไปประกอบชุดการผลิตชุดปลอดเชื้อคุณภาพสูง และหน้ากากป้องกันเชื้อโรคความดันบวก เพื่อใช้ทางการแพทย์


ก่อนหน้านี้นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า กรมได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพปรับเปลี่ยนมาผลิตหน้ากากอนามัยผ้าเพื่อให้อยู่รอดในวิกฤตโควิด-19 โดยมีโรงงานสิ่งทอ 7 โรงงานเข้าร่วมโครงการ มีกำลังการผลิต 350,000 ชิ้น จำหน่ายราคาเฉลี่ย 15-30 บาท


นางมณี เจนจรรยา กรรมการ บริษัท มณีอินเนอร์แวร์ จำกัด กล่าวว่า โรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปกว่า 19 ปี เข้าร่วมโครงการปรับไลน์จากชุดชั้นในสตรีสู่การผลิตหน้ากากผ้าสะท้อนน้ำ ป้องกันละอองฝอยและสารคัดหลั่ง มีกำลังการผลิต 40,000 ชิ้น/เดือน


ที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-451796

ข่าวรายวัน, สิ่งทอ, เครื่องนุ่งห่ม, การ์เมนต์, PPE, หน้ากาก, ชุุดป้องกัน, Medical Textile