หน้าแรก / THTI Insight / ความเคลื่อนไหวอุตสาหกรรม / จับตาเวียดนาม...โอกาสก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับชั้นนำของโลก

จับตาเวียดนาม...โอกาสก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับชั้นนำของโลก

กลับหน้าหลัก
11.12.2562 | จำนวนผู้เข้าชม 1714

จับตาเวียดนาม...โอกาสก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับชั้นนำของโลก

สงครามการค้าโลกที่ก่อตัวมานานนับปีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ – จีน ที่ต่างตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกันหลายรอบ จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ได้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนแล้วมูลค่ารวมประมาณ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่จีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าจะมีการพบปะเจรจาระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในการบรรลุข้อตกลงยุติสงครามการค้าซึ่งความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีฐานการผลิตในจีนให้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น จึงเริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีต้นทุนถูกกว่า ซึ่งเวียดนามถือเป็นเป้าหมายการลงทุนในลำดับต้นๆ ของนักลงทุนต่างชาติที่น่าจับตามอง

อานิสงส์ของสงครามการค้าต่อเวียดนาม

ท่ามกลางสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนซึ่งบั่นทอนบรรยากาศการค้าและการลงทุนของโลกและส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ แต่เวียดนามกลับเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนี้สะท้อนได้จากการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่นำเข้าจากเวียดนามแทนจีน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนลดลงร้อยละ 5 ในขณะที่นำเข้าสินค้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30.5 ในด้านการลงทุนนั้น ภาคธุรกิจสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในจีนลดลงร้อยละ 10 ส่วนข้อมูลการลงทุนของเวียดนามล่าสุดพบว่า ในช่วง 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) ของปี 2562มีบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 หรือมีเม็ดเงินลงทุนราว 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐโดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนผลิตและแปรรูปสินค้า รองลงมาเป็นอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีกและค้าส่ง ตามลำดับ ซึ่งประเทศที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามมากที่สุดใน 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง เกาหลีใต้ จีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ตามลำดับ

ปัจจัยดึงดูดการลงทุนในเวียดนาม

จากค่าแรงงานของจีนที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้หลายบริษัทได้ทยอยขยายฐานการผลิตจากจีนไปยังหลายประเทศรวมถึงเวียดนามมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การเปลี่ยนแปลงถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเพราะมีการตอบโต้การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันเกือบทุกประเภทสินค้า จึงกลายเป็นปัจจัยบังคับให้ธุรกิจต้อง“ย้ายที่ผลิต” เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าซึ่งเวียดนามนับเป็นประเทศเป้าหมายอันดับต้นๆ ของโลกที่หลายชาติเลือกเข้าไปลงทุนโดยมีปัจจัยส่งเสริมดังต่อไปนี้

ค่าจ้างแรงงานต่ำ

ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในเวียดนามแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2,920 – 4,180 ล้านดองต่อเดือน (3,854.82 – 5,518.20 บาทต่อเดือน)ในขณะที่จีนมีค่าจ้างขั้นต่ำที่สุดสูงกว่าเวียดนามร้อยละ 12และสูงสุดถึง 2 เท่าตัว[2]ส่วนไทยมีค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่าเวียดนามประมาณ1.5-3 เท่าตัว[3]ทั้งนี้ ค่าจ้างและสวัสดิการแรงงานในอุตสาหกรรมเครื่องประดับเวียดนามก็อิงตามกฎหมายแรงงานของเวียดนามเป็นหลักนอกจากนี้ เวียดนามยังมีประชากรจำนวนมากราว 96 ล้านคน โดยมีวัยแรงงานอยู่ถึงราว 58 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 12ซึ่งเป็นจำนวนมากพอรองรับการลงทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ข้อตกลงทางการค้า

นอกจากผู้ประกอบการในเวียดนามจะมีแต้มต่อจากสิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System of Preference: GSP) ที่ได้รับจากประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลียแล้ว เวียดนามยังมีความได้เปรียบเพิ่มขึ้นจากความตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคและทวิภาคีซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วประมาณ 14 ฉบับ และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2 ฉบับ โดยความตกลงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากคือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอียู-เวียดนาม (EVFTA) ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศกำลังพัฒนาชาติแรกในเอเชียที่อียูทำความตกลงด้วย นับเป็นความตกลงที่เรียกได้ว่ามีคุณภาพและมาตรฐานสูงโดยครอบคลุมทั้งการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ พาณิชย์-อิเล็กทรอนิกส์ และการลงทุน รวมถึงลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ส่วนสาระสำคัญของความตกลงฉบับนี้ก็คือ ทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันราวร้อยละ 99 ของสินค้านำเข้าทั้งหมดภายใน 10 ปี ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามคาดว่าผลของเอฟทีเอฉบับนี้จะส่งผลให้อียูส่งออกสินค้าไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.28 ส่วนเวียดนามจะส่งออกสินค้าไปยังอียูเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ภายในปี 2564

รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ

เวียดนามได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติมาโดยตลอด และในปี 2558-2559 เวียดนามมีการปรับปรุงกฎหมายหลายครั้งเพื่อต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอาทิต่างชาติสามารถถือหุ้นได้สูงสุดร้อยละ 100 หากชาวต่างชาติถือหุ้นร้อยละ 51 ขึ้นไป ให้ถือว่าเป็นบริษัทที่ลงทุนโดยต่างชาติ รวมถึงการยกเลิกการเก็บภาษีจากผลกําไรที่โอนกลับประเทศ (profit remittance tax) การปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่างชาติสำหรับธุรกิจทั่วไปในอัตราเดียวกับชาวเวียดนามที่ร้อยละ20 (flat rate) การยกเว้นภาษีนำเข้าวัสดุ-เครื่องจักรที่ไม่สามารถจัดหาได้ในเวียดนาม และการส่งเสริมการลงทุนในเขตพื้นที่ เช่น

เขตเศรษฐกิจพิเศษ (economic zones : EZs) เป็นต้น อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามยังปรับลดกระบวนการจัดตั้งธุรกิจจากเดิม 45 วันเป็น 15 วันเพื่ออำนวยความสะดวกบริษัทต่างชาติให้เข้าไปตั้งธุรกิจได้ง่ายขึ้นและมีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นรวมถึงการอัดฉีดเงินสนับสนุนค่าไฟฟ้าให้มีราคาถูกลงโดยมีราคาเพียง 0.07 เหรียญสหรัฐ (ราว 2.14 บาท) ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (Globalpetrolprices.com)

รัฐบาลและค่าเงินดองมีเสถียรภาพ

เวียดนามมีความมั่นคงทางการเมืองเป็นอย่างมาก ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการปกครองระบบคอมมิวนิสต์ แต่จากการปกครองแบบรัฐบาลพรรคการเมืองเดียวทำให้การกำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศเป็นไปอย่างมีเอกภาพและต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐบาลพยายามปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีของโลก ทำให้การดำเนินธุรกิจในเวียดนามเป็นลักษณะตลาดเสรีที่มีการควบคุมของรัฐบาลในระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนค่าเงินดองก็ถือว่ามีเสถียรภาพสูง ซึ่งค่าเงินดองใช้ระบบบริหารจัดการผูกกับค่าเงินสกุลอื่น (Pegged exchange rate) โดยธนาคารกลางเวียดนามจะมีการประกาศอัตราแลกเปลี่ยนแบบรายวันซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ในกรอบร้อยละ 1-2 เท่านั้น

การลงทุนผลิตเครื่องประดับในเวียดนาม

ในอดีตอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับเวียดนามดำเนินการโดยผู้ประกอบการท้องถิ่นรายเล็ก เป็นลักษณะธุรกิจในครอบครัว ผลิตสินค้าแบบดั้งเดิมไม่มีตราสินค้าเป็นของตนเอง เน้นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก แต่ในช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาเวียดนามได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ และเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติผู้ประกอบธุรกิจท้องถิ่นหลายรายจึงได้เริ่มพัฒนาการลงทุนเป็นการผลิตแบบโรงงานขนาดใหญ่มีการสร้างตราสินค้าเป็นของตนเองมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศแล้วยังส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยโดยผู้ผลิตเครื่องประดับรายใหญ่ของเวียดนามมี 3 รายคือ DOJI, PNJ และ SJC

ภายหลังเวียดนามออกกฎหมายอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2529 ซึ่งเป็นแผนปฏิรูปประเทศที่ชื่อว่าโด่ยเหม่ย และได้ปรับปรุงกฎหมายส่งเสริมการลงทุนให้มีความเสรีมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในปี 2550 ดึงดูดให้หลายชาติเข้าไปลงทุนเปิดบริษัทหรือตั้งโรงงานผลิตสินค้าในเวียดนามมากขึ้นในหลากหลายประเภทธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องประดับด้วย อาทิ บริษัท แพรนด้า ของไทย ได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงินและอัญมณีในจังหวัด Dong Nai บริษัท Vietnam Japan Gemstones ซึ่งเป็นการร่วมทุนของชาวญี่ปุ่นและเวียดนาม เป็นโรงงานผลิตเครื่องประดับแท้ ตั้งอยู่ในกรุงฮานอยMarigot Jewelry ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสวารอฟกี้ ผลิตเครื่องประดับคริสตัลและแอคเซสเซอรี่ ตั้งอยู่ในจังหวัด Dong Naiเป็นต้น

สำหรับการลงทุนผลิตเครื่องประดับในเวียดนามไม่มีข้อจำกัดมากนัก และต่างชาติสามารถจัดตั้งบริษัทโดยถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 100 หรือร่วมทุนกับคนท้องถิ่น ไม่จำกัดเงินทุนขั้นต่ำ แต่โดยทั่วไปเงินทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 10,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไปแต่หากจะลงทุนผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับทองคำ ซึ่งนอกจากการขอใบรับรองการลงทุนและหนังสือรับรองการจดทะเบียนจากหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่รับจดทะเบียนการลงทุนState Investment Registration Authority: SIRA[1]แล้ว ผู้ลงทุนยังจะต้องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจและใบรับรองจากธนาคารแห่งชาติเวียดนาม (State Bank of Vietnam: SBV) ด้วย

เวียดนามเป็นทั้งโอกาสและคู่แข่งของไทย

ด้วยปัจจุบันอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงาน และการถูกตัดสิทธิ์ GSP จากกลุ่มคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับคู่แข่งไม่น้อย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะเข้าไปลงทุนในเวียดนาม เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานจำนวนมาก ซึ่งมีค่าจ้างอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงสิทธิพิเศษจากความตกลงเขตการค้าเสรีและสิทธิ์GSP ของเวียดนามในการส่งออกไปยังประเทศคู่สัญญาต่างๆ ของเวียดนามที่ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากการที่เวียดนามวางเป้าหมายเป็นฐานการผลิตของโลกในปี 2563 รัฐบาลจึงได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เวียดนามยังได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผนวกกับจุดแข็งของแรงงานจำนวนมาก ค่าจ้างต่ำ แรงงานมีความขยันและมีทักษะฝีมือที่พัฒนาได้ เนื่องจากมีพื้นฐานจากการเป็นประเทศที่ผลิตเครื่องประดับทองด้วยมืออยู่แล้ว รวมถึงสิทธิพิเศษทางการค้าจากความตกลงการค้าเสรีต่างๆ และสิทธิ์GSP เหล่านี้เป็นปัจจัยทำให้เวียดนามได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก จึงอาจดึงดูดให้ชาวต่างชาติเลือกเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตเครื่องประดับในเวียดนามแทนไทยและเวียดนามอาจกลายเป็นคู่แข่งของไทยในการลงทุนและส่งออกเครื่องประดับได้ในอนาคตแม้ว่าปัจจุบันเวียดนามจะมีบริษัทต่างชาติที่ตั้งโรงงานผลิตเครื่องประดับจำนวนน้อยและเป็นรองไทยอยู่มากแต่การประมาทคู่แข่งอย่างเวียดนามโดยไม่เร่งพัฒนาตนเอง ก็อาจทำให้เวียดนามมีโอกาสก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับชั้นนำของโลกแซงหน้าไทยได้

ผลกระทบต่อไทยจากความตกลงเขตการค้าเสรีอียู-เวียดนาม

ด้านการค้า

อียูเป็นตลาดหลักส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและเวียดนาม แต่ด้วยฝีมือการเจียระไนและผลิตเครื่องประดับของไทยยังสูงกว่าเวียดนามในปัจจุบัน จึงทำให้ไทยเป็นผู้ส่งออกเหนือกว่าเวียดนามอยู่มาก สะท้อนให้เห็นจากสถิติส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไปยังตลาดอียูที่สูงกว่าเวียดนามราว6 เท่าอย่างไรก็ดี ความตกลงดังกล่าวอาจกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในอนาคต หากเวียดนามพัฒนาฝีมือแรงงานเพิ่มมากขึ้นสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากเวียดนามก็อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยในอียูได้

ด้านการลงทุน

บริษัทต่างชาติอาจเลือกขยายฐานการผลิตไปยังเวียดนามเพื่อใช้สิทธิจากความตกลงดังกล่าวในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไปยังอียูแทนที่การเข้ามาลงทุนในไทย อย่างไรก็ดี เวียดนามต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ และด้วยไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและผลิตอัญมณี จึงอาจเป็นโอกาสในการส่งออกวัตถุดิบและสินค้ากึ่งวัตถุดิบไปยังเวียดนามได้เพิ่มขึ้นซึ่งในปัจจุบันนี้ เวียดนามนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบจากไทยราว


ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)



กฎระเบียบอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, เวียดนาม, ฐานการผลิต, เครื่องประดับ, ภาษี