หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562

กลับหน้าหลัก
12.09.2562 | จำนวนผู้เข้าชม 1997

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562

การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562 มีมูลค่า 6,673.91 ล้านเหรียญสหรัฐ (212,859.08 ล้านบาท) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 22.77 (ร้อยละ 23.18 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อันเนื่องมาจากการนำเข้าทองคำฯ สินค้าหลักในสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งลดลงร้อยละ 40.95 เนื่องจากราคาทองคำฯ เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,412.98 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในเดือนกรกฎาคม อีกทั้งการนำเข้าเพชร สินค้าลำดับถัดมาในสัดส่วนราวร้อยละ 18 ก็หดตัวลงร้อยละ 5.39 

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.29 (ร้อยละ 28.56 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 9,025.29 ล้านเหรียญสหรัฐ (283,685.88 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 6,980.70 ล้านเหรียญสหรัฐ (220,668.82 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.26 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,433.09 ล้านเหรียญสหรัฐ (139,514.78 ล้านบาท) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 2.59 (ร้อยละ 2.12 ในหน่วยของเงินบาท) 


ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า

1.สินค้าสำเร็จรูป เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับแพลทินัม ลดลงร้อยละ 6.24,
ร้อยละ 19.75 และร้อยละ 3.50 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเทียม ยังเติบได้ร้อยละ 4.18 

2.สินค้ากึ่งสำเร็จรูป พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.70 และร้อยละ 14.67 ตามลำดับ ในขณะที่เพชรเจียระไน ปรับตัวลดลงต่อเนื่องร้อยละ 5.32

ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2562 คือ ฮ่องกง ซึ่งหดตัวลงร้อยละ 6.66 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในทิศทางขาลง จากผลกระทบของสงครามการค้า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักในฮ่องกงเดินทางไปท่องเที่ยวในฮ่องกงลดลง และยังมีปัจจัยซ้ำเติมจากการการชุมนุมประท้วงต่อต้านการร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการปักกิ่ง ซึ่งคาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะยังคงเป็นปัจจัยบั่นทอนการส่งออกของไทยไปยังฮ่องกงในครึ่งปีหลังต่อไป โดยสินค้าส่งออกไปยังฮ่องกงที่มีมูลค่าลดลง ได้แก่ เพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 23.12, ร้อยละ 12.02 และร้อยละ 5.94 ตามลำดับ

การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.51 จากการส่งออกไปยังเยอรมนี ตลาดอันดับ 1 ของไทยได้ลดลงถึงร้อยละ 33.71 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจของเยอรมนีใน
ไตรมาส 2 หดตัวลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ร้อยละ 0.4 ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยลง ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง ได้ลดลงร้อยละ 19.27 และร้อยละ 30.86 ตามลำดับ การส่งออกไปยังเบลเยียม ตลาดในอันดับ 2 ปรับตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 0.45 เนื่องจากการส่งออกเพชรก้อนและเครื่องประดับทอง สินค้าสำคัญถัดมาได้ลดลงร้อยละ 4.11 และร้อยละ 6.41 ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกเพชรเจียระไน สินค้าหลักก็เติบโตได้เพียงร้อยละ 1.13 ส่วนการส่งออกไปยังสหราช-อาณาจักร ตลาดในอันดับ 3 ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.73 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับแท้ ในสัดส่วนราวร้อยละ 82 โดยส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับทอง และส่วนที่เหลือเป็นเครื่องประดับเงิน รวมถึงสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.60, ร้อยละ 14.36 และร้อยละ 7.19 ตามลำดับ

การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.59 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง จากผลกระทบสงครามการค้า ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ได้ลดลงร้อยละ 15.40 และร้อยละ 19.96ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสำคัญอื่นๆ อาทิ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 2 ส่วนหนึ่งมาจากกำลังซื้อของชาวตะวันออกกลางลดลง เนื่องจากรายได้หลักจากราคาน้ำมันลดลง การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ และปัญหาความไม่สงบในบางประเทศทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้ลดลงโดยเฉพาะอิสราเอล และกาตาร์ ตลาดในอันดับ 2 และ 3 ที่หดตัวลงร้อยละ 1.48 และร้อยละ 12.52 ตามลำดับ โดยสินค้าหลักส่งออกไปยังอิสราเอลเป็นเพชรเจียระไน สินค้าส่งออกหลักไปยังกาตาร์เป็นเครื่องประดับทอง ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดในอันดับ 1 ก็ขยายตัวได้เพียงร้อยละ 3.31 โดยสินค้าหลักในตลาดนี้เป็นเครื่องประดับทอง 

มูลค่าการส่งออกไปยังจีนปรับตัวลดลงร้อยละ 10.48 ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง จากผลกระทบสงครามการค้า ผู้บริโภคจึงไม่มีความมั่นใจในการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน รวมถึงสินค้าสำคัญถัดมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไนได้ลดลงร้อยละ 3.18 และร้อยละ 44.55 ตามลำดับ และจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนเปลี่ยนไปจากการซื้อเครื่องประดับมาเป็นการซื้อทองคำเพื่อเก็บสะสมและการลงทุนมากขึ้น จึงหันมานำเข้าทองคำจากไทยเพิ่มสูงขึ้นมากถึงเกือบร้อยละ 40 

ส่วนตลาดที่ยังเติบโตได้ ได้แก่ อินเดีย ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 91.01 ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้นและมีกำลังซื้อสูงขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ เพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อจำหน่ายในประเทศตามความต้องการของผู้บริโภคที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะขยายตัวร้อยละ 7.3 ในปีงบประมาณ 2562 และ 2563 โดยไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้น อันได้แก่ เพชรเจียระไน โลหะเงิน พลอยก้อน พลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าเติบโตร้อยละ 20.53, 3.88 เท่า, 5.27 เท่า, 4.62 เท่า และร้อยละ 38.90 ตามลำดับ 

มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนที่เติบโตนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดราวร้อยละ 82 ได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.78 เท่า โดยสินค้าที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์ทั้งสินค้าหลักอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับทอง ขยายตัวสูงกว่า 94.15 เท่า, ร้อยละ 19.90 และร้อยละ 24.69 ตามลำดับ เวียดนาม ตลาดที่อยู่ในอันดับ 3 ก็เติบโตได้สูงถึงร้อยละ 69.26 ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่โตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญอย่างอัญมณีสังเคราะห์ โลหะเงิน และเครื่องประดับทองได้เพิ่มสูงกว่า 3.09 เท่า, ร้อยละ 24.11 และร้อยละ 87.39 ตามลำดับ ส่วนตลาดในอันดับ 2 อย่างมาเลเซีย ยังคงปรับตัวลดลงร้อยละ 7.99 จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน สินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 48 ได้ลดลงร้อยละ 3.41 ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตได้ในตลาดนี้ คือ เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 65.89 และร้อยละ 3.31 ตามลำดับ


ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

 *** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ

สถิติอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2562, ม.ค.-ก.ค.,