
มูลค่าส่งออกเม.ย.ต่ำสุดรอบ 2 ปี “สมคิด” ยันดิ่งลงได้อีกเหตุเทรดวอร์ยังไม่จบ
“พาณิชย์” เผยสงครามการค้าพ่นพิษส่งออกไทย เดือน เม.ย.ทำได้แค่ 1.8 หมื่นล้านเหรียญฯ ลดวูบ 2.57% มูลค่าต่ำสุดรอบ 2 ปี ส่วนช่วง 4 เดือนติดลบ 1.86% พร้อมรับลูก “บิ๊กตู่” นัดถกเอกชนประเมินสถานการณ์ 29 พ.ค.นี้ ขณะที่ “สมคิด” ย้ำมีโอกาสที่ส่งออกไทยลดลงได้อีก เหตุสงครามการค้ายังไม่จบ วอนรัฐบาลใหม่สานต่อเมกะโปรเจกต์ และดันลงทุนภาครัฐ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือน เม.ย.62 การส่งออกมีมูลค่า 18,555.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 2.57% เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย.61 โดยมูลค่าต่ำสุดในรอบ 2 ปีนับจากเดือน เม.ย.60 ที่ส่งออกได้ 16,861.5 ล้านเหรียญฯ และติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 นับจากเดือน มี.ค.62 ที่ติดลบ 4.88% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 582,984.9 ล้านบาท ลดลง 1.09% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 20,012.9 ล้านเหรียญฯ ลดลง 0.72% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 637,381.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.74% ขาดดุลการค้า 1,457.2 ล้านเหรียญฯ หรือ 54,396.5 ล้านบาท
ขณะที่ในช่วง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) ปี 62 การส่งออกมีมูลค่า 80,543.4 ล้านเหรียญฯ ลดลง 1.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 61 เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 2.540.8 ล้านล้านบาท ลดลง 1.85% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 79,993.9 ล้านเหรียญฯ ลดลง 1.08% เมื่อคิดเป็นเงิน บาทมีมูลค่า 2.562 ล้านล้านบาท ลดลง 0.87% เกินดุลการค้า 579.5 ล้านเหรียญฯ แต่เมื่อคิดเป็นเงินบาทขาดดุลการค้า 21,513.5 ล้านบาท
สำหรับสาเหตุที่ทำให้การส่งออกไทยลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากความยืดเยื้อและรุนแรงของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่กดดันการค้าโลก รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อทั่วโลกลดลง ผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการค้าของประเทศต่างๆ และการบังคับใช้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของประเทศคู่แข่งในการส่งออกของไทย อย่างเอฟทีเอเวียดนาม-สหภาพยุโรป นอกจากนี้ สินค้าบางอย่างของไทยเริ่มสูญเสียตลาดให้คู่แข่งจากการไม่พัฒนาเทคโนโลยี เช่น ยานยนต์ ที่ยอดส่งออกไปออสเตรเลียลดลง เพราะออสเตรเลียนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนและเยอรมนี หากไทยไม่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในอนาคตอาจเสียตลาดได้
“มูลค่าส่งออกไทยลดลงในแทบทุกตลาด โดยเฉพาะจีน เพราะสงครามการค้า แต่ก็ส่งออกไปสหรัฐฯได้เพิ่มขึ้น หากต้องการผลักดันให้มูลค่าส่งออกปีนี้เสมอตัวหรือขยายตัว 0% จากปี 61 นับตั้งแต่เดือน พ.ค.-ธ.ค.62 จะต้องส่งออกให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 21,493 ล้านเหรียญฯ ถ้าต่ำกว่านี้จะติดลบ แต่ถ้าสูงกว่าจะเป็นบวกได้”
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ หารือกับภาคเอกชน เพื่อประเมินผลกระทสงครามการค้า และแนวทางที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ ซึ่งจะประชุมวันที่ 29 พ.ค.62 จากนั้นวันที่ 31 พ.ค.62 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมร่วมกับทูตพาณิชย์ เพื่อประเมินเป้าหมายและทิศทางการส่งออกไทยในปีนี้อีกครั้ง
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า สนค. ยังได้ศึกษาผลกระทบหากสหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 25% มูลค่า 300,000 ล้านเหรียญฯในเร็วๆ นี้ โดยพบว่า จะเป็นโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจีนได้กว่า 1,500 รายการ เช่น เกษตร, อาหาร, เครื่องปรุงรส, น้ำตาล, น้ำผลไม้, เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องประดับ, ของใช้ภายในบ้าน เป็นต้น ส่วนกรณีที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ มูลค่า 60,000 ล้านเหรียญฯ จะเป็นโอกาสให้ส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนแทนสินค้าสหรัฐฯได้ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า, อิเล็ก-ทรอนิกส์, อาหาร, เคมีภัณฑ์ เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้ สนค.ประเมินว่า การขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 200,000 ล้านเหรียญฯ จะทำให้มูลค่าส่งออกไทยปีนี้หายไป 5,600-6,700 ล้านเหรียญฯ หรือ 2.2% ของมูลค่าการส่ง ออกรวม แต่หากสหรัฐฯจะขึ้นภาษีจีนอีกรอบมูลค่า 300,000 ล้านเหรียญฯ ยังไม่รู้ผลกระทบที่แน่ชัด แต่มีโอกาสทำให้ไทยส่งออกไปทั้งจีน และสหรัฐฯเพิ่มขึ้น”
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่มูลค่าส่งออกไทยจะติดลบได้อีก เพราะสงครามการค้ายังไม่จบ ดังนั้น ต้องเร่งผลักดันการลงทุนภาครัฐ ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 700,000 ล้านบาท จึงอยากให้รัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อนต่อไป ขณะที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ 3.6% เพราะผลกระทบของสงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่มีต่อภาคการส่งออก และคาดว่า ปีนี้การส่งออกไทยอาจโตต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2.7%
ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/1573975